"สาธิต"เผยไทยผู้สูงอายุเกิน 60 ปีมากกว่า 20% ระบุอีก 9 ปี ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ สธ.เดินหน้างานดูแลผู้ป่วยประคับประคอง เพื่อสร้างสุขภาวะระยะสุดท้ายของชีวิตทั้งร่างกาย-จิตใจ ช่วยครอบ ครัวไม่ล้มละลายจากการรักษา
เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2565 ที่โรงแรมริชมอนด์ นนทบุรี นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงาน “มหกรรมสร้างสุขที่ปลายทาง ครั้งที่ 4” ภายใต้แนวคิด “วางแผนและเตรียมความพร้อมของชีวิตเพื่อสุขที่ปลายทาง” จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) และภาคีเครือข่าย 13 องค์กร ทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม ประกอบด้วย กรมการแพทย์ กรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก สสส. สปสช. สภาการพยาบาล กรมกิจการผู้สูงอายุ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ สมาคมบริบาลผู้ป่วยระยะท้ายแห่งประเทศไทย กลุ่ม Peaceful Death ชีวามิตรวิสาหกิจเพื่อสังคม เยือนเย็นวิสาหกิจเพื่อสังคม และศูนย์ความรู้และประสานงานสุขภาวะทางปัญญา โดยมีผู้เข้าร่วมงานทั้งในแบบออนไซต์และออนไลน์รวมกว่า 1,400 คน
นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้ถือเป็นการขับเคลื่อนระบบการดูแลสุขภาพผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง (Palliative care) และสิทธิที่จะไม่รับการรักษาที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดความตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน ตามบทบัญญัติ มาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ซึ่งจะช่วยสร้างสุขภาวะในช่วงระยะท้ายของชีวิตให้กับประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นทั้งในส่วนของผู้ป่วย ครอบครัว และในภาพรวมของประเทศ
“แนวคิดการสร้างสุขที่ปลายทาง เกิดขึ้นเพื่อรองรับสถานการณ์ปัญหาในระบบสุขภาพของไทยที่มีแนวโน้มอุบัติการณ์โรคร้ายแรงและโรคที่คุกคามต่อชีวิตเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งเรากำลังก้าวสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ซึ่งในปีนี้เรามีประชากรที่อายุเกิน 60 ปีมากกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ และอีก 9 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด คือมีประชากรที่อายุเกิน 60 ปีมากกว่า 28% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งระบบบริการสุขภาพแบบประคับประคองจะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต บำบัด เยียวยาบรรเทาความทุกข์ทางกาย จิต สังคม จิตวิญญาณ ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นของการเจ็บป่วยจนกระทั่งเสียชีวิต โดยให้การดูแลครอบคลุมถึงครอบครัวของผู้ป่วยอีกด้วย ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายก็เป็นประเด็นสำคัญของระบบบริการสุขภาพ จากงานวิจัยประเทศต่างๆ ให้ข้อสรุปตรงกันว่า ค่าใช้จ่ายในช่วงระยะสุดท้ายของชีวิตสามารถทำให้ครอบครัวล้มละลายจากค่ารักษาพยาบาลได้ แต่หากใช้กระบวนการดูแลแบบประคับประคองมาดูแลผู้ป่วย จะช่วยลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัวให้สูงกว่าการดูแลรักษาแบบปกติ” นายสาธิต กล่าว
นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กล่าวว่า สช.และหน่วยงานองค์กรที่เกี่ยวข้อง ได้ขับเคลื่อนเรื่องการสร้างเสริมสุขภาวะระยะสุดท้ายของชีวิตมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาระบบกลไก การบูรณาการร่วมกับนโยบายและแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ การพัฒนาองค์ความรู้เพื่อใช้ประโยชน์ในระบบบริการสุขภาพ รวมถึงสื่อสารประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับสังคมไทย แต่ยังมีข้อท้าทายในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพการดูแลแบบประคับประคอง และการรับรู้ของประชาชนเรื่องการวางแผนเตรียมความพร้อมของชีวิตล่วงหน้า และการเลือกการรักษาพยาบาลที่ต้องการหรือไม่ต้องการในวาระสุดท้ายของชีวิตตน ตามเจตนารมณ์ มาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550
“หัวใจสำคัญของมาตรา 12 คือการส่งเสริมคุ้มครองให้เกิดการเข้าถึงสิทธิที่จะรับหรือไม่รับการรักษาที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสื่อสารนโยบายและองค์ความรู้ให้กลุ่มบุคลากรสาธารณสุขและภาคประชาชน ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และ 12 เขตสุขภาพทั่วประเทศให้เกิดความรู้ความเข้าใจเพื่อการใช้สิทธิด้านสุขภาพของตน ตลอดจนสนับสนุนให้ภาคีเครือข่ายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อให้เกิดการบูรณาการและขยายผลการขับเคลื่อนร่วมกันในระยะยาวต่อไป” เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าว
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี