‘วิษณุ’ประกาศพลิกโฉมโรงเรียนต้นแบบฯ ชู GPAS 5 Steps บันไดสร้างนวัตกรรมครูสู่นักเรียน
19 กันยายน 2565 ที่หอประชุมคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมวิชาการและประกาศนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เรื่อง พลิกโฉมโรงเรียนต้นแบบสร้างนวัตกรรมครูสู่นวัตกรรมนักเรียนแบบ Active Learning ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps พร้อมมอบโล่และเกียรติบัตรให้แก่ครูและนักเรียนที่ร่วมประกวดนวัตกรรมดีเยี่ยม ดีเด่น ดีมาก โดยมี นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศธ.) พร้อมด้วยนายสุภัทร จำปาทอง ปลัด ศธ. นายอัมพร พินสา เลขาธิการคณะกรรมการหารศึกษาขั้นพื้นฐาน และคณะผู้บริหาร ศธ.ร่วมภายในงาน โดยภายในงานมีการจัดนิทรรศการนำเสนอผลงานนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ของครู และนวัตกรรมนักเรียน จาก 26 โรงเรียนต้นแบบในพื้นที่ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร รวมผลงานกว่า 500 รายการ
นายวิษณุ กล่าวมอบนโยบายตอนหนึ่งว่า ชื่อของโครงการพลิกโฉมโรงเรียนต้นแบบสร้างนวัตกรรมครูสู่นวัตกรรมนักเรียนฯนี้ ทุกคำมีความหมาย แต่หัวใจสำคัญ ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเร่งปฏิรูปด้านต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการปฏิรูปการศึกษา ที่เป็นเป้าหมายสำคัญ เพื่อต้องการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลง แต่ต้องแบบค่อยเป็นค่อยไป จะทำแบบปุ๊บปับให้เห็นผลภายใน 24 ชั่วโมงไม่ได้ ถ้าทำอย่างนั้นเรียกปฏิวัติ ไม่ใช่การปฏิรูป การปฏิรูปต้องใช้เวลาต้องอาศัยการระดมการสร้างความเชื่อมั่นให้เห็นพร้อมต้องกันว่าควรจะปรับเปลี่ยนมาเป็นแบบอื่น อย่างอื่น ต้องต่อสู้กับการคัดค้าน ต่อสู้กับความเคยชิน แต่ในที่สุดก็ต้องทำไม่ว่าจะต้องใช่เวลานานเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเจ็บปวดอย่างไรก็จำเป็นต้องทำเพื่อสิ่งที่รออยู่
ทั้งนี้ การปฏิรูปการศึกษาจะต้องทำ 8 เรื่องจึงจะสัมฤทธิ์ผล คือ 1.ปฏิรูปโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการ 2.ปฏิรูปโรงเรียน 3.ปฏิรูปครู 4.ปฏิรูปนักเรียน 5.ปฏิรูปหลักสูตร 6.ปฏิรูปตำรา 7.ปฏิรูปวิธีการจัดการเรียนการสอน และ 8.ปฏิรูปการวัดประเมินผล แต่ถ้าจำเป็นต้องเลือกให้ทำก่อน ก็ต้องทำข้อ 7 คือ การปฏิรูปวิธีการจัดการเรียนการสอน เปลี่ยนการเรียนแบบตั้งรับ เป็นการเรียนแบบเชิงรุก
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า การเรียนสมัยใหม่เป็นแบบ Active Learning ครูจะเป็นเพียงผู้อำนวยการสอน ให้ความสะดวก เป็นผู้แนะนำให้เด็กมีบทบาทในการเรียนรู้แบบเชิงรุก ให้นักเรียนได้คิดเป็น ทำเป็นจนกลายเป็นนวัตกรรมออกมาที่จะขับเคลื่อนประเทศได้ในอนาคต และถือเป็นการพลิกโฉมการปฏิรูปการศึกษาได้อย่างแท้จริง ซึ่งต้องขอขอบคุณกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่ให้ความสำคัญกับการเรียนแบบ Active Learning โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ต้องเร่งพัฒนาโรงเรียนต้นแบบฯประจำจังหวัดให้มีครบทุกจังหวัด ในปีการศึกษา 2566 และตั้งความหวังไว้ว่าผลสำเร็จของการดำเนินงานตามแนวทางนี้จะยกระดับคุณภาพการศึกษาและพัฒนาสังคมของประเทศให้เป็นสังคมฐานความรู้ที่นำไปสู่การพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีสู่ระดับมาตรฐานสากลที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศชั้นนำของโลกต่อไป
“การพลิกโฉมโรงเรียนต้นแบบฯ เป็นความตั้งใจของ ศธ.ที่ได้ลดทองโครงการมาระยะหนึ่งแล้วและในปี 2566 ก็ตั้งใจจะนำไปใช้ในโรงเรียนต้นแบบประจำจังหวัด หลังจากนั้นก็จะขยายผลไปยังโรงเรียนต่างๆทั้งในระดับประถมฯและมัธยมฯ ซึ่งจะทำให้พลิกโฉมให้นักเรียนรู้จักคิด รู้จักสร้างผลงานโดยใช้ความคิดริเริมสร้างสรรค์ของตนเอง ใช้จินตนาการ สมัยก่อนเราเรียนใช้ปัญญา ความรู้ แต่ยุคนี้ต้องนำเทคโนโลยีมาผสมกับปัญญาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ออกมาเป็นนวัตกรรมเพื่อนำไปพัฒนาเพื่อประโยชน์ทางการค้าหรือประโยชน์ต่างๆได้ และกลายเป็นประดิษฐ์กรรมเป็นผลผลิตต่างๆ และทราบว่าวันนี้มีหน่วยงานหลายแห่งมาช้อปปิ้งเพื่อจะนำนวัตรกรรมนี้ไปต่อยอดได้”
ด้านนางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวว่า การนำเสนอนวัตกรรมด้านการเรียนการสอน ที่เป็นผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนและครูในวันนี้ เป็นผลสำเร็จจากการดำเนินโครงการความร่วมมือ “พัฒนานวัตกรรมครูสู่นวัตกรรมผู้เรียน” ระหว่าง สพฐ. กับมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ของครู เพื่อยกระดับคุณภาพทางการศึกษาที่ให้ความสำคัญในการเรียนการสอนรูปแบบ Active Learning รวมถึงการจัดเวทีเพื่อแลกเปลี่ยนและแบ่งปันความรู้ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความรู้ใหม่ และต่อยอดการพัฒนานวัตกรรมครูสู่นวัตกรรมผู้เรียนที่มีความหลากหลาย และเกิดประสิทธิผลในการจัดการเรียนการสอนเพิ่มมากยิ่งขึ้น
รมว.ศธ.กล่าวต่อว่า กระทรวงศึกษาธิการโดย สพฐ. ได้ดำเนินโครงการฯ ทดลองในโรงเรียนที่เป็นจังหวัดต้นแบบ เขตพื้นที่ภาคกลาง รวม 10 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จ.นครปฐม จ.สมุทรปราการ จ.พระนครศรีอยุธยา จ.ปทุมธานี จ.สมุทรสาคร จ.สุพรรณบุรี จ.สระบุรี จ.นครสวรรค์ และ จ.อ่างทอง โดยมีโรงเรียนในสังกัด สพฐ. เข้าร่วม 29 โรงเรียน และโรงเรียนในเครือข่ายอีก 4 โรงเรียน รวมทั้งสิ้น 33 โรงเรียน ครอบคลุมโรงเรียนขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ได้ดำเนินการมากว่า 9 เดือน ปรากฏผลสำเร็จที่ส่งผลให้คุณครูสร้างนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ได้มากกว่า 1,500 นวัตกรรม
“ศธ.สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านบทบาทของครู จากการทำหน้าที่เป็นครูผู้สอน ที่เป็นการสื่อสารทางเดียว ให้ครูปรับตัว เปลี่ยนบทบาทเป็น Facilitator หรือผู้อำนวยความสะดวก ให้คำปรึกษา ให้คำแนะนำ การเรียนการสอนที่ยึดตัวผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และมีการออกแบบการเรียนรู้ที่เหมาะสม แบบ Personalized Learning ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้มากกว่าเนื้อหาวิชา เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้ หรือสร้างความรู้ให้เกิดขึ้นในตนเองโดยกระบวนการคิดขั้นสูง มีการลงมือปฏิบัติจริง ซึ่งนวัตกรรมที่เป็นผลผลิตของโครงการ จะถูกนำไปใช้เป็นสื่อ และกิจกรรมการเรียนรู้ โดยจะมีการขยายผลสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพิ่มเติม เพื่อพัฒนาการศึกษาให้มีคุณภาพสูงยิ่งขึ้น ซึ่งการปรับเปลี่ยนครูและผู้เรียนให้เป็นนวัตกรรมทางการศึกษาและการจัดการเรียนรู้ได้เช่นนี้ เป็นความสำเร็จที่มีต่อการพัฒนาสมรรถนะครูและผู้เรียน ซึ่งจะเป็นพลังผลักดัน ส่งผลต่อเนื่องในการพลิกโฉมประเทศด้านการพัฒนาการศึกษาของชาติตามแนวคิด Thailand 4.0 ที่จะทำให้คนไทยมีการสร้างนวัตกรรมเป็นของตนเอง นำไปสู่การขับเคลื่อนประเทศประเทศให้ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน และเป็นการเตรียมความพร้อมประเทศ ให้สามารถก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกและการศึกษาในศตวรรษที่ 21” รมว.ศธ. กล่าว
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี