Kick off ทางม้าลายปลอดภัย วินัยดี “หยุด ก่อนทางม้าลาย” บูรณาการภาคีทุกภาคส่วน แก้ปัญหา 3 ด้าน แก้กฎหมาย-ปรับปรุงกายภาพ-รณรงค์สร้างจิตสำนึก ตั้งเป้า 1ปี รถต้องหยุดให้ข้ามทางม้าลาย
21 กันยายน 2565 พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดกิจกรรม Kick off ทางม้าลายปลอดภัย วินัยดี “หยุด ก่อนทางม้าลาย” โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายทรงศัก สายเชื้อ ผู้ตรวจการแผ่นดิน นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย สมาชิกวุฒิสภา ประธานคณะกรรมการบูรณาการกู้ชีพฉุกเฉินและความปลอดภัยทางถนน ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมกิจกรรม ที่ห้องรัตนโกสินทร์ เน้นย้ำการสนับสนุนขับเคลื่อนให้เกิดทางม้าลายปลอดภัย พร้อมปล่อยขบวนรณรงค์หน้าศาลาว่าการกทม. (เสาชิงช้า)
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวเปิดงานว่า เรื่องอุบัติเหตุถือเป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลต่อชีวิตพี่น้องประชาชนทำให้เกิดการสูญเสียและส่งผลไปถึงระบบเศรษฐกิจ สถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนของประเทศไทยสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก ช่วงเวลาที่ผ่านมาหลายหน่วยงานพยายามช่วยกันแก้ปัญหาเพื่อลดและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุทางถนน โดยเฉพาะอุบัติเหตุบริเวณทางข้ามทางม้าลายมีสถิติสูง ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ร่วมกับกระทรวง หน่วยงานต่างๆ จังหวัดและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ตระหนักถึงความสำคัญนี้ จึงได้บูรณาการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยขอความร่วมมือผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดสร้างกิจกรรมในการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนซึ่งจะมีการดำเนินการทุกวันที่ 21 ของทุกเดือน เพื่อใช้พลังสังคมช่วยกันสร้างกระแส เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุอย่างเช่นกรณี หมอกระต่ายอีก รวมถึงขอความร่วมมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการปรับปรุงด้านกายภาพของทางข้าม/ทางม้าลาย และการบังคับใช้กฎหมายต้องทำอย่างเข้มงวด สิ่งสำคัญที่จะทำให้เกิดความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนคือการสร้างจิตสำนึก สร้างวัฒนธรรมในการใช้รถใช้ถนน ทั้งคนข้ามและคนขับ
ส่วนนายชัชชาติ กล่าวว่า กทม. ให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน โดยเฉพาะหลังเกิดเหตุ “หมอกระต่าย” เฉพาะทางม้าลาย กทม. มีทั้งหมด 2,788 แห่ง ที่ผ่านมาเรามีการปรับปรุงทั้งหมด 1,286 จุด เป็นการปรับปรุงทาสี มีส่วนที่เป็นสีแดงและสีขาว โดยส่วนที่เป็นสีแดงเราทาไปทั้งหมดประมาณ 250 จุดที่เหลือเป็นสีขาว จริงๆแล้วทางม้าลายทั้งหมดจะมี 3 แบบ ที่มีไฟกระพริบตรงทางแยก แต่เดิมมี 538 แห่ง เราเพิ่มทางม้าลายตรงทางแยก อีก 2 แห่งเป็น 540 ที่ติดตั้งสัญญาณกดปุ่ม แต่เดิมมี 237 เราเพิ่มขึ้นอีก 34 แห่งในช่วงปี 2565 เป็น 271
ส่วนสัญญาณไฟกระพริบเตือนเมื่อก่อนมี 924 เราเพิ่มอีก 50 เป็น 974 แห่ง และที่ผ่านมาในปี 2565 เราเพิ่มสัญญาณไฟขึ้นอีก 86 จุด ในปีงบประมาณ 2566 จะมีการเพิ่มเติมอีก เพราะฉะนั้นทางกายภาพเรามีการปรับปรุงเต็มที่เป็นสิ่งที่กำลังทำ นอกจากนี้ เรามีเทศกิจลงไปดูทางม้าลายหน้าโรงเรียน โครงการ School Care ทั้งหมดประมาณ 526 จุด เป็นโรงเรียนกทม. 437 แห่ง โรงเรียน สพฐ. 45 แห่ง โรงเรียนเอกชน 43 แห่ง และจุดอื่นๆ 1 โรงเรียน ใช้เทศกิจ 574 นายต่อวัน ประจำหน้าโรงเรียนทั้งเช้า-เย็นเพื่อเพิ่มอำนวยความสะดวกการจราจร ทั้งหมดนี้
“กายภาพเราจะปรับปรุงต่อไป แต่เราไม่สามารถทำไฟปุ่มกดทุกจุดได้ เพราะบางจุดก็ไม่คุ้มที่จะติดตั้งคงต้องเลือกจุดที่เหมาะสม ปรับปรุงแสงสว่างให้ดี แต่ถ้าไม่มีจิตสำนึกไม่มีเรื่องการหยุดให้คนข้ามก็เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นการรณรงค์วันนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้ภาพรวมเข้มข้นขึ้น มี 3 ส่วน คือกายภาพต้องดี เรื่องจิตสำนึก และเรื่องบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งตอนนี้ กทม.ได้มีการปรับลดความเร็วตามอำนาจของกทม.สามารถลดความเร็วบริเวณทางม้าลายหรือว่าชุมชนได้ มีทดสอบอยู่ 5 จุด ปักป้ายความเร็ว 30 กม./ชม. เพื่อให้รถชะลอ ถ้าเกิดความเร็วเกินก็ต้องมีการจับปรับ จะเริ่มมีการจำกัดความเร็วตามจุดต่างๆ โดยจะร่วมมือกับตำรวจนครบาลตำรวจจราจร ประชาสัมพันธ์และแสดงให้ถึงการเอาจริงเอาจังในการจับปรับ ซึ่งเป็นอำนาจของทางตำรวจจราจร เพราะอยู่บนผิวทาง เราต้อง เอาจริงเอาจังทั้งด้าน solf Power ก็คือรณรงค์ hard Power คือการจับปรับ “ ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าว
ด้านนายทรงศัก สายเชื้อ ผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า จากสถิติการรับเรื่องร้องเรียนที่ผ่านมา พบกว่า 500 เรื่อง เป็นปัญหาเกี่ยวกับงานจราจร ในจำนวนนี้มากถึง 300 - 400 คน ต่อปี ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุการข้ามถนน และ จากข้อมูลการสำรวจการหยุดรถที่ทางม้าลาย พบว่าผู้ขับขี่รถเกือบร้อยละ 90 ไม่หยุดรถตรงทางม้าลาย โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์มีสถิติสูงสุด จึงเล็งเห็นว่าทุกภาคส่วนต้องเร่งร่วมมือกันรณรงค์ แก้ไขปัญหาดังกล่าวจากต้นเหตุให้ครอบคลุมทุกมิติอย่างจริงจัง จึงอาศัยอำนาจ ตามมาตรา 32 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 หยิบยกกรณีปัญหาอุบัติเหตุจากการใช้ทางข้าม (ทางม้าลาย) แก้ไขในเชิงระบบ ใน 3 ด้านหลัก คือ 1.ด้านการแก้ไขกฎหมาย 2.ด้านการปรับปรุงทางกายภาพ 3.ด้านการรณรงค์สร้างจิตสำนึกและการสร้างเครือข่าย
ทั้งนี้ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ร่วมกับ สสส. บูรณาการทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ-เอกชน ขับเคลื่อนการทำงาน และ รณรงค์ “ทางม้าลายปลอดภัย วินัยดี" เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาเชิงระบบเกี่ยวกับความปลอดภัยในการข้ามถนนโดยใช้ทางม้าลายอย่างเป็นรูปธรรม สำหรับด้านการแก้ไขกฎหมาย จะเสนอแนะให้เพิ่มเติมกฎหมาย พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ที่ควรกำหนดให้ผู้ขับขี่หยุดรถให้คนข้ามถนนบริเวณทางม้าลายเป็นการเฉพาะ เนื่องจากปัจจุบันกฎหมายยังไม่มีการบัญญัติโทษไว้เป็นการเฉพาะ รวมถึงกำหนดกฎหมายเพิ่มบทลงโทษกับคนที่ฝ่าฝืนด้วย ทั้งนี้ผู้ตรวจการแผ่นดินจะเป็นองค์กรกลางสนับสนุนทุกหน่วยงานในขับเคลื่อนการทำงานเพื่อให้เกิดเป็นรูปธรรม ตั้งเป้าในอีก 1 ปีข้างหน้า ทางม้าลายทุกทางรถจะต้องหยุดให้คนเดินข้าม ซึ่งจะติดตามประเมินผลทางสถิติอย่างต่อเนื่องทุก 2-3 เดือน เพื่อดูว่าอุบัติเหตุหรือผู้ฝ่าฝืนกฎหมายนั้นลดลงหรือไม่อย่างไร
วันเดียวกันยังมีการจัดกิจกรรมรณรงค์ Kick off ทางม้าลายปลอดภัย วินัยดี คู่ขนาน อีก 10 จุดทั่วกรุงเทพ คือ บริเวณทางข้ามทางม้าลายหน้าครุสภา เขตดุสิต ทางเข้าวัดราชาธิวาสวิหาร เขตดุสิตหน้าโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระนคร หน้าวัดบวรนิเวศ เขตพระนคร หน้าโรงเรียนสันติราษฎร์เขตราชเทวี หน้าสถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์ เขตราชเทวี เขตสวนหลวง เขตห้วยขวาง และบริเวณแยกวชิรธรรมสาธิต เขตพระโขนง รวมถึงภาคีเครือข่ายด้านความปลอดภัยบนท้องถนนในทุกจังหวัดทั่วประเทศ
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี