เครือข่ายต้าน‘เหมืองแร่-เขื่อน’รวมตัวถอดบทเรียนการต่อสู้ภาคปชช. ย้ำจุดยืนคัดค้าน-เฝ้าระวังต่อไป
24 ก.ย. 2565 ที่โรงเรียนบ้านแหงเหนือ ต.บ้านแหง อ.งาว จ.ลำปาง มีการจัดงาน “12 ปี แห่งการสู้เหมือง กลุ่มรักษ์บ้านแหง” โดย นางกมลเนตร เชียงโฉม ตัวแทนกลุ่มรักษ์บ้านแหง กล่าวว่า การต่อสู้ที่ผ่านมาใช้ทั้งวิธีตั้งด่านสกัดคนเข้าออกพื้นที่ และส่งตัวแทนของกลุ่มเข้าเป็นเป็นผู้นำชุมชนทั้งผู้ใหญ่บ้านและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ซึ่งเป็นของกลุ่มรักษ์บ้านแหงทั้งหมด
ซึ่งในส่วนของตนกว่าจะเข้ามาเป็นผู้ใหญ่บ้านก็มีความยากลำบาก โดยดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 2557 และถูกดำเนินคดีมาแล้ว 2 คดี เงินเดือนไม่พอสู้คดีจนต้องกู้ยืมเงินจากกองทุนยุติธรรมมาต่อสู้คดี ทั้งนี้ฝ่ายปกครองมองว่าเราทำผิดระเบียบไม่ใช่หน้าที่ ที่เราต้องออกไปต่อสู้ร่วมกับชาวบ้าน แต่เราก็ไม่ฟังยังไปร่วมกับพี่น้องอยู่หากไม่ติดธุระทางราชการ ทั้งนี้ ประเด็นเหมืองแร่บ้านแหงที่ต่อสู้กันมา 12 ปี ยังยืนยันจะต่อสู้ต่อไป
“ถ้ามีบุคคลไม่หวังดีเข้ามาในพื้นที่ชาวบ้านก็พร้อมสกัดกั้น ที่สำคัญในเรื่องของตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกสภา อบต. ในส่วนที่หมดวาระลงในปี 2566 เราก็จะเดินหน้าต่อ รวมไปถึงตำแหน่ง ส.ส. ซึ่งเป็นผู้สมัครจากพรรคสามัญชน ที่เราจะยึดมาเป็นของกลุ่มรักษ์บ้านแหงต่อไปด้วย อีกทั้งในอนาคตเราจะปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำเกษตรจากการใช้สารเคมีมาเป็นเกษตรอินทรีย์ทั้งข้าวและกระเทียมซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของชุมชนเพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป” นางกมลเนตร กล่าว
น.ส.ภรณ์ทิพย์ สยมชัย ตัวแทนกลุ่มคนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้าน จ.เลย กล่าวว่า ที่ผ่านมาทางกลุ่มสู้แบบยิบตาเพราะพื้นที่ จ.เลย ได้รับผลกระทบแล้ว เหมืองเปิดทำการมีการถลุงและแร่สกัดแร่โดยใช้สารไซยาไนด์ในการทำเหมือง เราต่อสู้จนชาวบ้านโดนฟ้องกว่า 30 คน รวมเรียกค่าเสียหายจากเอกชนกว่า 100 ล้านบาท พี่น้องชาวบ้านถูกฟ้องเพื่อปิดปาก ไม่ให้ออกมาเคลื่อนไหว แต่เราฮึกเหิมกันมาก ไม่กลัวคดีใด เพราะเรามีทีมทนายที่เก่งมาก
“เราต่อสู้จนเหมืองล้มละลายและปิดเหมืองได้ก่อนที่เหมืองจะถูกสั่งปิดจากภาครัฐ คดีสิ่งแวดล้อมเราก็ชนะ เป็นชัยชนะสูงสุดของพวกเรา ถึงจะปิดเหมืองและเหมืองล้มละลายไปแล้วเราก็ยังต่อสู้อยู่ ซึ่งปิดเหมืองนั้นว่ายากที่สุดแล้ว แต่การฟื้นฟูเหมืองยิ่งยากกว่า ซึ่งเราก็ยังเดินหน้าฟื้นฟูอยู่” น.ส.ภรณ์ทิพย์ ระบุ
นางสุนีย์ อนุเวช ตัวแทนกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่ผาจันได เปิดเผยว่า เริ่มคัดค้านเหมืองหินในพื้นที่ดงมะไฟ จ.หนองบัวลำภูมา 28 ปี ต่อสู้กันมาเรื่อยจนคนรุ่นพ่อแม่ล้มหายตายจากไปแล้ว สะบักสะบอมมามากเพราะก่อนนั้นไม่มีเครือข่ายอื่นมาให้ความรู้ ใช้แต่กำลังในการต่อสู้ จนมีนักวิชาการ และเครือข่ายต่างๆ เข้ามาช่วยต่อสู้ จนปิดเหมืองหินได้ ในวันที่ 12 ส.ค. 2563
“ทุกวันนี้ก็ยังเฝ้าระวังอยู่ และใช้กลยุทธ์ปิดทางเข้าออกเหมือนกัน ปิดมา 2 ปีกว่าแล้ว และมีการยึดและทวงคืนพื้นที่เหมืองเพื่อมาทำป่าชุมชน มีการเข้าไปจัดการกับ อบต. เวลาที่เขาจะลงมติเราก็จะเข้าไปล้มเวที จนเขาต้องไปจัดการประชุมที่อื่น ทำให้การลงมติของเขาไม่ถูกระเบียบและต้องยกเลิกมตินั้นไป วันนี้สิ่งที่ชาวบ้านทำคือการเข้าไปพัฒนาพื้นที่ให้เป็นป่าชุมชนและแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และยังต้องเดินหน้าผลักดันยกเลิกประกาศแหล่งหินอุตสาหกรรมที่รัฐประกาศเอาไว้ต่อไป” นางสุนีย์ กล่าว
น.ส.สุดตา คำน้อย ตัวแทนกลุ่มรักษ์ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร กล่าวว่า พวกตนต่อสู้กันมาตั้งแต่ปี 2558 โดยต่อสู้กับทุนจีนที่ได้รับอาชญาบัตรพิเศษในการสำรวจแร่โดยรัฐบาลไทย ซึ่งแม้เข้ามาอย่างถูกกฎหมายแต่ชาวบ้านไม่มีส่วนร่วม ตั้งแต่กระบวนการแรก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแร่โปแตซคืออะไร และจะมาทำอะไรในบ้านของพวกตน ซึ่งชาวบ้านได้ยื่นหนังสือตั้งแต่ระดับ อบต. อำเภอ จังหวัด เพื่อให้เปิดเผยข้อมูลกับชาวบ้าน มีชาวบ้าน 9 คนที่ต่อสู้ถูกดำเนินคดีบริษัทฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย 3.6 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นฎีกา
“สิ่งที่เราต้องทำในขณะนี้คือการติดตามและคัดค้านการออกใบอาชญาบัตรใหม่ และไม่ใช่แค่อาชญาบัตรในพื้นที่ของเราท่านั้น แต่เราติดตามร่วมกับทุกเครือข่าย เราต่อสู้เพื่อบ้านเกิดและสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐต้องปกป้อง แต่กลายเป็นว่าเราไม่เคยใช้สิทธิชุมชนได้เต็มที่และรัฐกับนายทุนเป็นฝ่ายที่ทำร้ายเรา ถ้าปีนี้เขาได้ใบอาชญาบัตรพิเศษมาคิดว่าการต่อสู้จะดุเดือดมากกว่าคราวที่แล้ว บทเรียนในการปิดถนนต้องถูกนำกลับมาใช้อีกหรือไม่เป็นสิ่งที่ต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป” น.ส.สุดตา กล่าว
นายจวน สุจา ตัวแทนกลุ่มรักษ์ลุ่มน้ำแม่ลาหลวง จ.แม่ฮ่องสอน กล่าวว่า การเหมืองใน จ.แม่ฮ่องสอน เริ่มตั้งแต่ตนเป็นเด็ก 30 กว่าปีมาแล้ว โดยไม่เคยมีการทำประชาคม ภาครัฐประกาศให้สัมปทานเหมือนป่าไม้ ที่ผ่านมาเหมืองปิดไปแล้ว 20 กว่าปีเหมืองแร่ฟลูออไรต์ บริษัทเดิมสืบทอดกิจการจากพ่อ ซึ่งเป็นของชาวจีน เขารู้ว่าแร่ยังมีอยู่จำนวนมาก จึงเข้ามาอีกรอบหนึ่ง มาแบบพวกตนไม่รู้เรื่อง มีการปกปิดข้อมูลข่าวสาร
โดยเหมืองนี้จะเริ่มยื่นขอประทานบัตร ซึ่งผู้ว่าฯ นายอำเภอ และป่าไม้บอกเป็นพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม จึงได้ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมาธิการ (กมธ.)ที่ดินทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร โดยเมื่อ กมธ.ที่ดินฯ มาดูพื้นที่ด้วยตนเองก็พบว่าไม่ใช่ป่าเสื่อมโทรมแต่อย่างใด ซึ่งการทำเหมืองจะกระทบกับการทำน้ำประปาและการเพาะปลูกของหมู่บ้าน หากมีสารตะกั่วปนเปื้อนลำน้ำแม่ลาน้อย ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของชุมชน
“ที่ผ่านมาเราได้ยื่นหนังสือในทุกระดับทั้ง อบต. อำเภอ ผู้ว่าฯ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ทำเนียบ และรัฐสภา ถ้ายังจะมีการทำเหมืองต่อเราจะต่อสู้ด้วยปฏิบัติการขั้นสูงสุดคือปิดพื้นที่ไม่ให้เข้า และจะมอบหมายให้ทนายฟ้องร้องในเรื่องการปกปิดรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และการทำประชาคมที่ไม่โปร่งใส รวมทั้งจะมีการยื่นถวายฎีกาต่อไปด้วย อย่างไรก็ตามสำหรับอุโมงค์เหมืองเดิมที่มี 10 อุโมงค์ เราเตรียมพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ต่อไป” ตัวแทนกลุ่มรักษ์ลุ่มน้ำแม่ลาหลวง กล่าว
นายณัฐปคัลภ์ ศรีคำภา ตัวแทนกลุ่มราษฎรคัดค้านเขื่อนแก่งเสือเต้นและยมบนยมล่าง กล่าวว่า วันนี้เรื่องเขื่อนแก่งเสือเต้น ยมบนยมล่างยังไม่จบ การต่อสู้กว่า 30 ปียังไม่สำเร็จ เพราะความสำเร็จคือสร้างไม่ได้ แต่วันนี้ยังมีการแนวคิดในการก่อสร้างอยู่ จากประสบการณ์ของชาวสะเอียบ รัฐไม่เคยจริงใจกับประชาชน แต่หลอกมาตลอด โดยเฉพาะในเรื่องการทำประชาคม สิ่งสำคัญที่สุดคือการขอให้รัฐบาลมีมติเพิกมติ ครม.ในเรื่องการก่อตั้งเขื่อนแก่งเสือเต้น
ซึ่งแม้รัฐบาลบอกว่าเลิกแล้ว แต่มตินี้ยังอยู่และอยู่ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีด้วย จึงเป็นเรื่องที่ชาวสะเอียบต้องต่อสู้กันต่อไป โดยมีการจัดเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้เขาเข้าพื้นที่ได้ ซึ่งหน่วยงานไหนเข้าสะเอียบโดยไม่แจ้งความประสงค์ เราไม่รับรองความปลอดภัย อีกทั้งขณะนี้มีศึกใหญ่เข้ามา 2 ทัพ ทั้งทิศเหนือและใต้ ศึกแรกคือร่างพ.ร.บ.การดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ.ศ…. ซึ่งเป็นอันตรายต่อพวกเราในการวมกลุ่ม
“ชาวสะเอียบกลัวที่สุดคือกฎหมายตัวนี้ พรรคไหนคิดขึ้นมาอย่าหวังจะได้ใจชาวสะเอียบ อีกศึกเป็นทัพใหญ่เป็นเรื่องของแก่งเสือเต้น ยมบน ยมล่างโดยตรง ท่านอย่าเอาแก่งเสือเต้นมาเป็นการหาเสียง วันที่ 7 พ.ค. 2566 ที่กกต.ได้กำหนดวันเลือกตั้งไว้เบื้องต้น ทุกพรรคที่ไม่เอาแก่งเสือเต้นได้ใจชาวสะเอียบแน่นอน” นายณัฐปคัลต์ กล่าว
น.ส. ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน กล่าวว่า เดิมชาวบ้านนักต่อสู้ในประเด็นสิทธิชุมชนเริ่มต้นจากการต้องสู้คดีเป็นผู้ที่ถูกรัฐและเอกชนฟ้อง ถูกแจ้งความดำเนินคดี ซึ่งสิ่งที่เราใช้ในการต่อสู้คดีคือข้อเท็จจริงทำให้ชนะคดีเกือบทั้งหมดด้วยการที่ศาลยกฟ้อง ดังนั้นการสู้คดีข้อเท็จจริงเป็นสิ่งสำคัญและปกป้องประโยชน์สาธารณะได้ อีกส่วนคือการที่เราใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการต่อสู้
“บริษัทลากไปสู้คดีแล้ว เราก็ใช้กฎหมายในการปกป้องสิทธิของเราบ้าง ซึ่งหลายคดีเราต่อสู้สำหรับเช่น กรณีบ้านแหงที่ร้องต่อศาลปกครอง จนหยุดใบประทานบัตรได้ แม้ยังยังมีการอุทธรณ์คดีอยู่ แต่ก็เป็นตัวอย่างในพื้นที่อื่นว่าทำให้โครงการชะลอได้จริง ซึ่งหน่วยงานรัฐก็ไปแก้เกมด้วยการแก้กฎหมายแร่ในเรื่องขั้นตอนการออกใบอนุญาตต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่เราต้องต่อสู้กับรัฐในเรื่องการแก้กฎหมายแร่ที่ภาคประชาชนต้องเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ตลอดจนหยุดแผนแม่บทแร่ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันลงให้ได้” น.ส. ส.รัตนมณี
น.ส. ส.รัตนมณี กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ทั้งหมดต้องอาศัยแรงกายและใจจากพี่น้องประชาชน พวกเราทีมทนายที่เขามาช่วยนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ไม่สามารถอยู่กับพี่น้องได้ตลอดเวลา กระบวนการยุติธรรมไม่ใช่ที่สุดของกระบวนการต่อสู้ของพวกเรา ถึงที่สุดเราจะเห็นคำพิพากษาในหลายๆ คดีไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดหวัง ดังนั้นเราจะต้องทำงานควบคู่กันไป ในเรื่องการยื่นหนังสือต่างๆ ถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ผู้ตรวจการแผ่นดิน องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ตลอดจนองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อบอกเล่าปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อไม่ให้เขามาละเมิดสิทธิเราได้
-001