‘กรมบังคับคดี’ เผยผลสำรวจปี 65 ประชาชนเชื่อมั่นค่าเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ ‘ดร.ยงยุทธ’ ชี้เหตุเจ้าหนี้-ลูกหนี้ ไม่เข้าใจกฎหมาย ปมเข้าใจผิดเจ้าหน้าที่บังคับคดี เสนอจัดกระบวนการไกล่เกลี่ยในพื้นที่ ใช้เทคโนโลยีเพิ่มความสะดวก ‘อธิบดีกรมบังคับคดี’ ดันแก้ไขกฎหมายล้มละลาย ช่วย SMEs กิจการขนาดย่อมไม่ต้องขึ้นทะเบียนเข้ามาสู่กระบวนการฟื้นฟูได้
11 ตุลาคม 2565 นางทัศนีย์ เปาอินทร์ อธิบดีกรมบังคับคดี ร่วมกับ ดร.สาสินี ขจรไพร และคณะผู้วิจัย บริษัทพีเอเอส คอนซัลแทนท์ แอนด์ รีเชิร์ช จำกัด แถลงผลสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนผู้รับบริการที่มีต่อกระบวนการบังคับคดี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565
นางทัศนีย์ แถลงว่า ภารกิจหลักของกรมบังคับคดีเป็นการบังคับคดีตามคำพิพากษา หรือคำสั่งของศาล เป็นกระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง ดำเนินการตามขั้นตอนตามกฎหมายให้ความเป็นธรรม โปร่งใส และอำนวยความสะดวกแก่คู่ความทุกฝ่ายในคดี รวมถึงประซาชนผู้รับบริการตามแผนปฏิบัติราชการ ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2563-2565) ของกรมบังคับคดี กำหนดยุทธศาสตร์การเสริมสร้างภาพลักษณ์องค์การและยกระดับธรรมาภิบาล โดยมีเป้าหมายเพื่อให้มีภาพลักษณ์องค์กรที่น่าเชื่อถือ โปร่งใส เป็นธรรม เสมอภาคและทันสมัยเป็นองค์การมีระบบการบังคับคดีที่มีประสิทธิภาพ
นางทัศนีย์ กล่าวว่า ผลการสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนผู้รับบริการที่มีต่อกระบวนการบังคับคดี ประจำปีงบประมาณพ.ศ.2565 ว่า การรับรู้ของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญต่อการทำงานของหน่วยงานมากที่สุด ทั้งนี้ ในปี 2565 มีหลายเรื่องที่ดำเนินการ ทั้งการบริหารจัดการคดี การผลักดันทรัพย์สินปี2565 ออกจากการบังคับคดี กว่า 2.26 แสนล้านบาท หรือสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2แสนล้านบาท ซึ่งได้นำส่งค่าธรรมเนียมเป็นรายได้แผ่นดิน นอกจากนั้น แล้วการทำงานในภารกิจไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทจำนวนกว่า 40,000 เรื่อง คิดเป็นมูลค่าทรัพย์กว่า 6,600 ล้านบาท ถือว่าสูงกว่าเป้าหมาย สำหรับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทที่เป็นปีแห่งการแก้หนี้ครัวเรือนถือว่าประสบความสำเร็จ
“ที่ผ่านมาประชาชนเหมือนจะกลัวกรมบังคับคดี ทั้งที่จริงแล้ว กรมบังคับคดีไม่ใช่คนร้าย แต่เป็นคนกลางที่มาดำเนินการเพื่ออำนวยความยุติธรรมให้กับ เจ้าหนี้และลูกหนี้ ดังนั้น จึงเป็นการเสนอทางเลือกที่สาม ไกล่เกลี่ย ระงับข้อพิพาท อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีคดีที่อยู่ในการบังคับคดีเป็นจำนวนแสนเรื่อง แต่คนยังไม่เข้ามารับบริการ ซึ่งอาจเพราะไม่รู้ ไม่ทราบข่าว ดังนั้นกรมบังคับคดีจะเน้นการสื่อสารเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ รวมถึงการให้ความรู้ ข้อมูลต่างๆกับประชาชนในเชิงรุก ปี2565 ให้ความรู้กับประชาชนจากเดิม6 จังหวัดที่อยู่ในภาคเหนือ ซึ่งในปี2566 จะเพิ่มเติมอีก 18 จังหวัดในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับความรู้ด้านการเป็นหนี้ ค้ำประกัน ขณะเดียวกันคือการปรับทัศนคติของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานให้ทำงานเชิงรุกมากขึ้น” นางทัศนีย์ กล่าว
นางทัศนีย์ กล่าวว่า ในปี 2566 กรมบังคับคดี เตรียมจัดมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน ในพื้นที่ ส่วนกลาง4 ครั้ง และในภูมิภาค 33ครั้ง นอกจากนั้นจะเพิ่มในส่วนของการช่วยเหลือกลุ่มSMEs(เอสเอ็มอี) จากการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ล้มละลาย (ฉบับที่...) พ.ศ. ... เพื่อฟื้นฟูกิจการเอสเอ็มอี เช่น การปรับฐานยอดหนี้ ลดเงื่อนไขของกิจการที่เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูจากเดิมต้องจดทะเบียนกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) แต่กฎหมายที่แก้ไขลดทอนเรื่องดังกล่าว กิจการขนาดย่อมไม่ต้องขึ้นทะเบียนเข้ามาสู่กระบวนการฟื้นฟูได้ ทั้งนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของกรรมาธิการ สภาผู้แทนราษฎร
เมื่อถามว่าร่างกฎหมายดังกล่าวนั้น มีความเป็นไปได้ที่กฎหมายดังกล่าวจะพิจารณาเสร็จทันบังคับใช้ในสมัยสภาชุดปัจจุบันหรือไม่และหากไม่ทันกรมบังคับคดีจะดำเนินการอย่างไร อธิบดีกรมบังคับคดี กล่าวว่า ตนไม่สามารถตอบได้ว่าจะทันในสมัยสภาชุดปัจจุบันหรือไม่ เพราะข้อเสนอจากส.ส.ที่ยื่นร่างกฎหมายประกบอาจต้องใช้เวลา แต่หากกฎหมายไม่ผ่าน ทางกรมบังคับคดีจะมีโครงการการให้ความรู้กับเอสเอ็มอี ในด้านกฎหมายฟื้นฟูและหากมีปัญหาสามารถทำแผนฟื้นฟูกิจการและการไกล่เกลี่ยหนี้ซึ่งมีการไกล่เกลี่ยหนีให้เอสเอ็มอีด้วย
ขณะที่นางสาลินี ขจรไพร ประธานบริษัท พีเอเอส คอนชัลแทนท์ แอนด์ รีเซิร์ช จำกัด ในฐานะผู้วิจัย กล่าวถึงผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่เข้ารับบริการ และกลุ่มเปราะบาง ที่มีต่อกระบวนการบังคับคดี เช่น ผู้ติดหนี้ รวมถึงการสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้อง ก่อนที่จะวิเคราะห์เชิงเนื้อหา โดยผลจากการสำรวจพบว่าค่าเฉลี่ย 9.11-9.32 จากค่าเฉลี่ยเต็ม 10 คะแนน เชื่อมั่นต่อกระบวนการบังคับคดีในภาพรวม ซึ่งสูงกว่าปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ซึ่งสูงกว่าปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ที่มีค่าเฉลี่ย 9.10 คะแนน นอกจากนั้น ประชาชนยังรับรู้ในบทบาทหน้าที่และการทำงานของกรมบังคับคดีที่เป็นประโยชน์กับประชาชนระดับสูงเช่นกัน
ด้าน ดร.ยงยุทธ แสนประสิทธิ์ ที่ปรึกษาบริษัทพีเอเอส ในฐานะคณะผู้วิจัย กล่าวว่า ในการสำรวจเชิงคุณภาพ จากการสัมภาษณ์ กลุ่มที่เป็นหนี้3 กลุ่ม ได้แก่ 1.หนี้ครัวเรือน 2.หนี้ กยศ. 3.หนี้บัตรเครดิต ผ่านกระบวนการไกล่เกลี่ยของกรมบังคับคดีว่า ช่วยลดความวิตกกังวล ลดผลกระทบที่เกิดต่อในครอบครัว และมีข้อเสนอแนะว่า อยากให้กรมบังคับคดีช่วยไกล่เกลี่ยลดหย่อนหนี้ ให้ความรู้ประชาชนเพิ่มเติม แง่มุมทางกฎหมายในขั้นตอนที่จำเป็น การจัดกิจกรรมต่อเนื่องในพื้นที่ที่ประชาชนเข้าถึงได้สะดวก
ขณะที่การสำรวจผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกจากตัวแทนหน่วยงานและฝ่ายบริหารของหน่วยงานรัฐ อาทิ อัยการ สรรพากร และเอกชน การบังคับคดี ทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงานต้องรวดเร็ว แต่พบปัญหาสำคัญคือ เจ้าหนี้หรือลูกหนี้ ไม่มีความรู้ความเข้าใจในกฎหมายที่ถ่องแท้ รวมถึงสิทธิในการดำเนินการทำให้เข้าใจผิดในการทำงานของหน่วยงานรัฐในการบังคับคดี นอกจากนั้น ยังเสนอแนะให้จัดกระบวนการไกล่เกลี่ยในพื้นที่ และใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความสะดวกในการทำงาน
“การสำรวจเชิงคุณภาพ มีความเห็นตรงกันทุกกลุ่มที่ต้องการให้เน้นการทำงาน รวดเร็ว โปร่งใส ต่อเรื่อง รวมถึงลดขึ้นตอนที่ไม่จำเป็น เพิ่มช่องทางการสื่อสารกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาชนที่รับริการรวมถึงขยายโครงสร้างองค์กร สร้างความสมดุลบรรลุประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่าย ทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ ขณะที่สถาบันการเงิน ภาคเอกชน และสภาทนายความที่สำรวจความคิดเห็นมองว่า การทำงานรวดเร็ว ให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดขั้นตอนการทำงาน รวมถึงควรนำระบบฐานข้อมูลที่ดีมาพัฒนาการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐและเอกชนให้เกิดการทำงานร่วมกันที่รวดเร็ว” ดร.ยงยุทธ กล่าว
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี