วันศุกร์ ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ในประเทศ
‘ไร้บ้าน’แต่ไม่ไร้‘ความหวัง’ จากปัญหาสู่คุณค่า..เป็นไปได้

‘ไร้บ้าน’แต่ไม่ไร้‘ความหวัง’ จากปัญหาสู่คุณค่า..เป็นไปได้

วันจันทร์ ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2565, 06.10 น.
Tag :
  •  

เมื่อเร็วๆ นี้ ภาคีเครือข่ายประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร (กทม.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิกระจกเงา และอีกหลายองค์กร เปิดวงเสวนา “Homeless ไม่ Hopeless : เสียงสะท้อน ความหวัง อนาคต และชีวิตในภาวะไร้บ้าน” ณ ลานคนเมือง ศาลาว่าการกทม. (เสาชิงช้า) ชวนผู้เกี่ยวข้องกับการทำงานกับคนไร้บ้าน (หรือคนเร่ร่อน-ผู้ใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะ) ทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคม สะท้อนมุมมองและร่วมหาทางออก

ศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการ กทม. กล่าวว่า คนไร้บ้านไม่ใช่ปัญหา แต่อาจจะเป็นสังคมหรือเมืองที่ทำให้คนไม่น่าอยู่ หรือทำให้กลุ่มคนไร้บ้านมีสวัสดิการหรือสิทธิไม่เพียงพอ เพราะปัจจุบันอยู่ในสถานการณ์ที่มีบ้านและตึกร้างจำนวนมากแต่ยังมีคนที่ไม่มีบ้าน นอกจากนี้ถึงแม้มีอาหารเหลือทิ้ง (Food Waste) เยอะแยะ แต่บางคนก็ไม่มีอาหารกิน นอกจากนั้นได้ถามผู้ประกอบการหลายคนบอกว่าหาคนทำงานยากมาก แต่บางคนก็กลับไม่สามารถเข้าถึงแหล่งงานได้ จากปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องของการบริหารงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ


“เป็นหน้าที่ของกรุงเทพมหานครที่จะต้องบูรณาการร่วมกับภาคีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐในการปลดล็อกกฎหมาย และต้องบูรณาการกับภาคประชาสังคม มูลนิธิ หรือเครือข่ายต่างๆ เพื่อให้เกิดขึ้นได้ ทุกวันนี้จะเห็นว่ามีเสียงที่พูดถึงคนไร้บ้านมากขึ้นว่ามีจำนวนเยอะขึ้นไหม หรือมีการจัดการที่ดีเพียงพอไหม ซึ่งโจทย์เราอาจจะต้องทำหลายอย่างไปพร้อมกัน ทั้งบริหารจัดการและทำให้คนไม่รู้สึกว่าเรื่องคนไร้บ้านคือปัญหา แต่สังคมที่เราอยู่ด้วยกันสร้างปัญหาบางอย่างที่ทำให้เกิดคนไร้บ้านเกิดขึ้น เราอาจจะต้องช่วยกันมากกว่านี้” รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าว

ธนิต ตันบัวคลี่ รองผู้อำนวยการสำนักพัฒนาสังคม กรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ปัจจุบัน กทม. มีนโยบายเกี่ยวกับคนไร้บ้านที่ชัดเจน 3-4 ข้อ เช่น “คนไร้บ้านต้องไม่ไร้สิทธิ์” ตอนนี้วางแนวทางการดำเนินงานขั้นพื้นฐานมาพอสมควร และกำลังจะขยายทำต่อในเรื่องการจ้างงานและที่อยู่อาศัย โดยมีต้นแบบที่ทำประสบความสำเร็จอยู่แล้วจากเครือข่ายคนไร้บ้าน

“ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา กทม.ได้เริ่มดำเนินการตามนโยบายดูแลคนไร้บ้านโดยพยายามช่วยเหลือเยียวยาด้วยการตั้งจุดบริการไว้ 4 จุด หรือที่เรียกว่าจุด Drop In เพื่อแก้ไขปัญหาคนเร่ร่อน นอกจากนี้ปัจจุบันมีข้อบัญญัติเงินอุดหนุนให้กับภาคประชาสังคมที่ทำงานช่วย กทม. เครือข่ายสามารถทำได้ตามอำนาจหน้าที่ กทม. เพื่อขับเคลื่อนงานกับเครือข่ายคนไร้บ้านได้ ซึ่งตอนนี้ตั้งคณะกรรมการเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว” รอง ผอ.สำนักพัฒนาสังคม กทม. กล่าว

อุเทน ชนะกุล ผู้อำนวยการกองคุ้มครองสวัสดิภาพและเสริมสร้างคุณภาพชีวิต กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา เป็นตัวช่วยให้ได้ทำงานใกล้ชิดกันกับภาคประชาสังคมมากขึ้น ส่วนข้าราชการทำให้มีการพูดคุยร่วมกันมากขึ้น แต่เมื่อพูดคุยกับคนไร้บ้านได้สอบถามถึงความต้องการในพื้นที่ รู้สึกว่ากลุ่มคนไร้บ้านกลัวที่จะให้ข้อมูล แต่เวลาไปกับมูลนิธิต่างๆ กลับได้ความร่วมมืออย่างดีในการจะพูดคุยด้วย

“มองว่าจุดนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญมากต่อมาทาง พม. พยายามที่จะปรับบทบาทให้สอดคล้องกับความต้องการ และวิธีการไปทำงานกับคนไร้บ้าน เช่น เข้าไปคุยกับคนไร้บ้านหลังช่วงเคอร์ฟิว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ ทำให้ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับกลุ่มคนไร้บ้าน” ผอ.กองคุ้มครองสวัสดิภาพและเสริมสร้างคุณภาพชีวิต กล่าว

ภายในงานมีตัวแทนองค์กรภาคประชาสังคม (NGO) ที่ทำงานด้านคนไร้บ้านมาร่วมนำเสนอข้อค้นพบต่างๆ อาทิ อัจฉรา สรวารี มูลนิธิอิสรชนให้ความเห็นว่า “การทำงานกับกลุ่มคนไร้บ้านจะต้องลงมาเป็นเพื่อนเขา” โดยพยายามเพื่อจะหาข้อมูลให้ได้จริงๆ ว่าสิ่งที่กลุ่มคนไร้บ้านต้องการคืออะไร จึงทำให้เกิดเป็นโครงการต่างๆ เช่น โครงการแบ่งปันอาหาร โครงการถุงปันสุข การพาเขาเข้าสู่สิทธิการรักษา และการขับเคลื่อนให้เกิด พ.ร.บ.การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. 2557

“ล่าสุดได้ร่วมกันขับเคลื่อนให้ท้องถิ่นดูแลคนไร้ที่พึ่งให้ได้ เพราะพบว่าเมื่อส่งกลุ่มคนเหล่านี้กลับบ้านหรือคืนสู่สังคม เขาไม่สามารถอยู่ในชุมชนได้และท้องถิ่นไม่สามารถเอางบประมาณลงมาดูแลได้ ทั้งที่กลุ่มคนดังกล่าวน่าจะอยู่ในชุมชนหรือในท้องถิ่นของตนเองได้ ซึ่งบางท้องถิ่นอยากขับเคลื่อนเรื่องนี้ จึงทำอย่างไรให้เกิดระบบในการดูแลกลุ่มคนไร้ที่พึ่งได้ และอยากให้ได้เกิดการพัฒนาตัวเองและช่วยเหลือตัวเองด้วย

ซึ่งบางกรณีที่อยากได้สิทธิคนพิการ ทางมูลนิธิฯได้สนับสนุนด้วยการบอกช่องทาง และให้กลุ่มคนเหล่านี้ไปดำเนินการเอง จะเห็นได้ว่ากลุ่มคนดังกล่าวอยากได้จริงๆ และพร้อมที่จะพัฒนาตัวเอง ซึ่งทำให้เกิดความยั่งยืนในอนาคต ล่าสุดมีการขับเคลื่อนให้สังคมเข้ามามีส่วนร่วม เพราะการขับเคลื่อนจากภาครัฐและเอกชนไม่เพียงพอ ประชาชนควรมีส่วนร่วมให้เรื่องคนไร้บ้านเป็นเรื่องใกล้ตัว เพราะว่าคนทุกคนอาจมีโอกาสเร่ร่อนหรือใช้ชีวิตในที่สาธารณะได้ ซึ่งทุกคนมีความเสี่ยงทำให้การขับเคลื่อนสวัสดิการในอนาคตจึงเป็นเรื่องสำคัญ” อัจฉรา กล่าว

สมพร หารพรม มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย กล่าวว่า แนวทางของมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัยคือ “เน้นให้เข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน” โดยจะมีอยู่ 3-4 เรื่อง ซึ่งมูลนิธิจะเน้นเรื่องของการตั้งหลักชีวิตก็คือ “มีที่พักอาศัย” โดยการมีที่พักจะพูดถึงเรื่องการที่คนไร้บ้านได้หวนกลับมาว่าเขาจะไปต่ออย่างไร ซึ่งเริ่มจากการนำร่องเรื่องการทำศูนย์พักพิงขึ้นมา เพื่อเสนอนโยบายที่อยู่อาศัย นอกจากนั้นยังมีการทำงานกับกลุ่มคนในพื้นที่สาธารณะ โดยพยายามที่จะรวมกลุ่มคนไร้บ้านในพื้นที่สาธารณะ เพื่อที่จะพูดถึงปัญหาของเขาว่ามีปัญหาอยู่กี่เรื่อง

โดยในแต่ละสถานการณ์ เช่น ผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ และล่าสุดคือโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งกลุ่มคนไร้บ้านจะเป็นกลุ่มคนที่ถูกให้ความสำคัญหลังสุดที่จะเข้าไปดูแล เช่น จากลงพื้นที่พูดคุยพบว่าคนไร้บ้านเข้าไม่ถึงการป้องกันโควิด จนกลายเป็นที่มาของการผลักดันให้เกิดจุดประสานงานขึ้นมาบนพื้นที่สาธารณะ โดยทำงานร่วมกับกองคุ้มครองสวัสดิภาพและเสริมสร้างคุณภาพชีวิต พม. และไม่ได้ทำเฉพาะในพื้น กทม. เท่านั้น แต่ทำในพื้นที่ต่างจังหวัดด้วย ทำให้เกิดการทำงานร่วมกัน

“จากจุดประสานงานทำให้เกิดความคิดว่าเรื่องศูนย์พักอย่างเดียวไม่พอ เพราะกลุ่มคนไร้บ้านในหลายส่วนคิดเรื่องการทำงาน ซึ่งงานอย่างเดียวยังตอบโจทย์ไม่พอ จะต้องมีที่อยู่อาศัยที่ใกล้แหล่งงานด้วย จึงกลายมาเป็นการพูดคุยและคิดร่วมกันในการทำห้องเช่าราคาถูก กลายเป็นที่มาของโครงการที่อยู่อาศัยคนละครึ่งโดยเริ่มนำร่องในพื้นที่หัวลำโพง จากคนกลุ่มเล็กๆ10 กว่าคน จนปัจจุบันมีสมาชิกประมาณ 40 คน หรือประมาณเกือบ 20 ห้อง

คาดการณ์ว่าถ้าสามารถทำให้คนไร้บ้านออกจากพื้นที่สาธารณะหรือตั้งหลักชีวิตได้จะขยับขยายเพิ่ม เพียงแต่ต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสิ่งที่จะทำต่อไปคือนโยบายเรื่องที่อยู่อาศัยราคาถูก จะเป็นนโยบายที่เข้ามาช่วยเหลือไม่ใช่เฉพาะคนไร้บ้านในพื้นที่สาธารณะอย่างเดียว แต่สามารถช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางด้วย” สมพร กล่าว

นพ.จักกาย เกษมนานา กลุ่มหมอกระเป๋าเล่าว่า ในฐานะแพทย์ที่อยากเข้าใจปัญหาสุขภาพของคนในพื้นที่สาธารณะ จึงลงมาทำงานกับคนเครือข่ายอาสาหลายภาคกับมูลนิธิอิสรชน ได้เห็นถึงที่น่าสลดหดหู่ “เคยเห็นคนไร้บ้านไส้ทะลักนอนจมอุจจาระของเขา” เป็นเรื่องสะเทือนใจมากที่เห็นมนุษย์คนหนึ่งอยู่ในสภาพแบบนี้ จึงทำให้คิดว่า “งั้นรักษากันตรงนี้ละกัน” โดยขนยาใส่กระเป๋าแล้วลงเดินไปกับแฟนที่เป็นแพทย์เช่นกัน

“ตอนหลังเริ่มชวนหมอหลายๆ ท่านจนกลายเป็นทีม และยังมีอาจารย์หลายๆ ท่านลงมาด้วย เมื่อมารักษาก็เริ่มเห็นคนไร้บ้านเข้ามาต่อแถวมากขึ้น จึงตั้งสเตชั่นตรวจทุกวันอังคารที่ 1 และ 3 ของเดือนบริเวณตรอกสาเกเป็นประจำ และอีกเคสที่จะทำต่อจากนี้คือเคสผู้ป่วยจิตเวช เพราะเคสจิตเวชที่มีอาการน้อยและปานกลาง ไม่มีใครรู้ว่าเขาป่วยและคนเหล่าไม่ได้รับการรักษาด้วย” นพ.จักกาย กล่าว

สิทธิพล ชูประจง จากมูลนิธิกระจกเงา กล่าวว่า มูลนิธิกระจกเงาทำงานกับคนในพื้นที่สาธารณะโดยเริ่มจากกลุ่มผู้ป่วยจิตเวชเร่ร่อน เนื่องจากยังไม่มีหน่วยงานไหนทำงานกับคนกลุ่มนี้และไม่มีหน่วยงานไหนมาดูแลว่าจะทำอย่างไรกับกลุ่มผู้ป่วยจิตเวชเร่ร่อน ซึ่งคนไร้บ้านเองยังสามารถดูแลคุณภาพชีวิตของตัวเองได้ในระดับหนึ่ง แต่ตัวผู้ป่วยจิตเวชเร่ร่อนไม่สามารถที่จะดูแลตัวเองได้ในฐานะมือใหม่ที่ทำงานกับคนไร้บ้าน ได้ขอความรู้จากมูลนิธิอิสรชน และดูการทำงานของมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย ที่ทำงานมาก่อนหน้า

จนในที่สุดได้ทดลองทำเอง โดยการทำกิจกรรม “FOOD FOR FRIENDS” หรือ “อาหารเพื่อเพื่อน” โดยใช้รถหมูแดงเป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจและทำความรู้จักกับโลกของคนไร้บ้าน พอมีความเข้าใจและได้รู้จักถึงคนไร้บ้านจะช่วยแก้ปัญหาได้ ทั้งนี้ หลังจากได้ลงพื้นที่ สิ่งที่คนไร้บ้านมาสะท้อนให้เห็นมากที่สุดคือ “ถามหาข้าวกิน” และ “ถามหางานทำ” จึงคิดว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นกุญแจที่สำคัญที่สุดในการทำงานกับคนไร้บ้าน นำมาสู่การเกิดขึ้นของโครงการ “จ้างวานข้า”ด้วยความหวังว่า จะทำให้เขาหลุดพ้นจากคนไร้บ้านไปสู่การเป็นคนมีบ้าน

“การมีงานทำมีความหมายมากต่อกลุ่มคนไร้บ้าน เนื่องจากงานจะนำไปสู่เรื่องรายได้ เมื่อรายได้จะนำไปสู่การที่เขาสามารถตัดสินใจ มีกระบวนการในการคิดว่าฉันจะไปอย่างไรต่อ โดยมิติทางเศรษฐกิจเป็นสิ่งสำคัญในการที่ทำให้กลุ่มคนไร้บ้านวางตัวเองว่าจะอยู่ไร้บ้านต่อไป หรือจะเปลี่ยนไปเป็นคนที่มีที่อยู่อาศัย” สิทธิพล กล่าว

ตัวอย่างคนไร้บ้านที่ได้รับประโยชน์จาก “จ้างวานข้า” โครงการดีๆ ที่ทำให้คนไร้บ้านมีโอกาสได้งานทำซึ่งหมายถึงการมีรายได้เลี้ยงตนเอง
“ลุงอดุล” เปิดเผยว่า ชีวิตเมื่อก่อนเป็นคนเร่ร่อนค่ำที่ไหนก็นอนที่นั้น บางทีไม่มีข้าวจะกิน เพราะช่วงโควิดงานหาทำงานยากและไม่มีบ้านเช่า จึงต้องนอนตามสถานีรถไฟวงเวียนใหญ่ ซึ่งบางทีมีคนมาจ้างงานวันสองวัน ทำให้พอประทังชีวิตได้บ้าง แต่เมื่อมาอยู่กับมูลนิธิกระจกเงาชีวิตดีเป็นอย่างมาก

“จากชีวิตที่ไม่มีอะไรจนปัจจุบันมีงานทำและมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง โดยสามารถเช่าบ้านได้จากการร่วมโครงการจ้างวานข้า ที่จ้างให้ทำงานต่างๆ ทำให้เช่าบ้าน 1,500 บาท มีฝากธนาคารไว้ 1,000 เหลือ 4,000-5,000 เอาไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน พอเวลาว่างก็หาอาชีพเสริมเพื่อให้มีรายได้ ทำให้ในปัจจุบันตอนนี้ชีวิตสบายขึ้นมีบ้าน มีที่อาบน้ำ เช้ามาตื่นไปทำงาน เย็นก็กลับมานอน” ลุงอดุล ระบุ

ยังมีเสียงสะท้อนจาก “เครือข่ายคนไร้บ้านหัวลำโพง” เล่าถึงโครงการ “ที่อยู่อาศัยคนละครึ่ง”ว่า เริ่มแรกมีมูลนิธิของคนไร้บ้านเข้าไปตรวจสอบ ดูแล และถามสารทุกข์สุขดิบในช่วงที่เป็นโควิด -19 จึงได้เห็นถึงความต้องการของพี่น้องแต่ละคนว่า “อยากมีห้อง-อยากมีงาน” จึงเกิดโครงการห้องเช่าคนละครึ่งขึ้นมา เริ่มจากคนไร้บ้าน 10 คนแรก เช่าห้องประมาณ 6 ห้อง

เวลาต่อมาเมื่อ 10 คนนี้ได้ทำงานจึงทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะได้อาบน้ำเหมือนคนปกติ ทำให้มีโครงการห้องเช่าคนละครึ่งเกิดตามมาอีกทีละเฟส จนในปัจจุบันนี้มีประมาณ 40 คน 5 เฟส รวมห้องเช่า20 กว่าห้อง และมีขึ้นอีกในเฟสที่ 6 ในเดือนพฤศจิกายน 2565 ระหว่างนี้คนที่เตรียมจะย้ายเขาต้องดูแลตัวเองไปก่อน นอกจากนี้ยังมีคนไร้บ้านอีกจำนวนมากที่อยู่ในพื้นที่สาธารณะ จากที่อื่นด้วยไม่เฉพาะที่หัวลำโพง ได้ให้ความสนใจเช่นกัน

ภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สสส. กล่าวว่า ในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา มีคนไร้บ้านเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30 หรือจาก 1,300 กว่าคนเป็น 1,800 กว่าคน และในภาพรวมเป็น 4,000 คน ซึ่งคนกลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับการยกระดับพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างมาก เพราะฉะนั้นภาคประชาสังคมมีบทบาทสำคัญมากในการเข้ามาสนับสนุนในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย มูลนิธิกระจกเงา และมูลนิธิอิสรชน

โดย 3 องค์กรนี้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันขับเคลื่อนเรื่องคุณภาพชีวิตคนไร้บ้านอย่างต่อเนื่อง ถ้าไม่มีภาคประชาสังคมเข้ามาหนุนเสริม เรื่องการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไร้บ้านอาจจะมาไม่ถึงจุดนี้ โดยมีโมเดลเรื่องการเข้าถึงที่อยู่อาศัยและเรื่องอาชีพที่ชื่อว่าที่อยู่อาศัยคนละครึ่ง ที่เป็นไฮไลท์สำคัญที่ได้รับการยกระดับต่อยอดจากทาง กทม. และ พม. ในการที่จะหนุนเสริมกลุ่มคนไร้บ้าน ให้กลุ่มคนดังกล่าวมีที่อยู่อาศัยและได้มีอาชีพ

นอกจากนี้ ภาควิชาการมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เป็นพาร์ทเนอร์สำคัญที่ สสส. ให้การสนับสนุน และชี้ให้เห็นช่องว่างและโอกาสในการขยับเรื่องคนไร้บ้าน ไม่ว่าจะเป็นโมเดลที่อยู่อาศัยคนละครึ่งหรือจุดดรอปอิน เป็นนวัตกรรมและไฮไลท์งานด้านสังคมที่สำคัญ ซึ่งคำว่า “ความสุขหรือสุขภาวะของคนไร้บ้าน” เป็นเรื่องยาก แต่ สสส.ยินดีที่จะเป็นหน่วยงานหนึ่งที่เข้ามาเสริมหนุน

และสำหรับคนที่ทิ้งแล้วทุกอย่าง ทิ้งชีวิตที่มีความสุข และทิ้งครอบครัวของตัวเองมาอยู่ในพื้นที่สาธารณะ..การจะทำให้กลุ่มเหล่านี้เข้ามาดูแลสุขภาพจึงเป็นเรื่องท้าทายเช่นกัน!!!

โครงการ “จ้างวานข้า” ริเริ่มโดยมูลนิธิกระจกเงา มาตั้งแต่ปี 2563 โดยเล็งเห็นว่า คนไร้บ้านขาดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งงาน ทำให้ขาดรายได้ในการเลี้ยงชีพและเก็บเป็นเงินออม จึงไม่สามารถหลุดพ้นจากสถานะคนไร้บ้านได้ โดยประเภทงานที่อยู่ในโครงการจ้างวานข้า คืองานทำความสะอาด เนื่องจากสอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไร้บ้านมากที่สุด เพราะคนไร้บ้านส่วนใหญ่เป็นแรงงานไร้ฝีมือ รวมถึงเป็นผู้สูงอายุ โดยมีความร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) และชุมชนต่างๆ ในการจ้างคนเหล่านี้ไปทำความสะอาดพื้นที่ ซึ่งนอกจากทำให้คนไร้บ้านมีรายได้แล้ว ยังทำให้คนไร้บ้านรู้สึกกระตือรือร้นเนื่องจากมองเห็นคุณค่าในตนเองด้วย

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • พสบ.ทร.22 ส่งมอบโอกาสทางการศึกษาและกีฬาแก่เยาวชน โรงเรียนเครือหวายวิทยาคม พสบ.ทร.22 ส่งมอบโอกาสทางการศึกษาและกีฬาแก่เยาวชน โรงเรียนเครือหวายวิทยาคม
  • \'อานันท์\'ร่วมรดน้ำศพ\'บิ๊กสุ\' พร้อม\'เพื่อน จปร.5\'ตบเท้าร่วมอาลัย 'อานันท์'ร่วมรดน้ำศพ'บิ๊กสุ' พร้อม'เพื่อน จปร.5'ตบเท้าร่วมอาลัย
  • ไทยพีบีเอสร่วมขับเคลื่อนสังคมสูงวัยเตรียมตัว \'เรื่องงาน\' เตรียมพร้อม \'เรื่องเงิน\' ออกแบบ \'ชีวิตไม่เกษียณ\' ไทยพีบีเอสร่วมขับเคลื่อนสังคมสูงวัยเตรียมตัว 'เรื่องงาน' เตรียมพร้อม 'เรื่องเงิน' ออกแบบ 'ชีวิตไม่เกษียณ'
  • เปิดเวที ‘BU-ASEAN BUSINESS FORUM’ ครั้งที่ 1 เสริมศักยภาพผู้ประกอบการรุ่นใหม่ด้วยความคิดสร้างสรรค์เพื่อความสำเร็จที่ยั่งยืน เปิดเวที ‘BU-ASEAN BUSINESS FORUM’ ครั้งที่ 1 เสริมศักยภาพผู้ประกอบการรุ่นใหม่ด้วยความคิดสร้างสรรค์เพื่อความสำเร็จที่ยั่งยืน
  • ​สจล.ครองอันดับ 1 ‘วิศวกรรมเครื่องกลและอากาศยาน’ ของไทย จาก Research.com ​สจล.ครองอันดับ 1 ‘วิศวกรรมเครื่องกลและอากาศยาน’ ของไทย จาก Research.com
  • จุดประกายความหวังด้านการศึกษา ‘KFC Bucket Search’ รุ่นที่ 2 เปิดประตูสู่อาชีพในอนาคต จุดประกายความหวังด้านการศึกษา ‘KFC Bucket Search’ รุ่นที่ 2 เปิดประตูสู่อาชีพในอนาคต
  •  

Breaking News

‘พยาบาล’รพ.พระนั่งเกล้า เล่านาทีโดนผู้ป่วยหนุ่มคลั่งพุ่งทำร้าย

‘จริยธรรม’อยู่สูงกว่ากฎหมาย ทุกคนต้องยึดมั่น ไม่ใช่เฉพาะแพทย์

โชเฟอร์ไม่รู้! รถพ่วงล้อหลุด หมุนพุ่งข้ามเลน ชนรถคุณหมอยับ

ปาฏิหาริย์! ชายอังกฤษรอดชีวิตจากเครื่องบินแอร์อินเดียตก

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved