ติดโควิดรอบ 7 วันเฉียด 5 พันราย
กทม.-ปริมณฑลพุ่ง
ผวาสายพันธ์ุ BA.2.75 เพิ่ม 58%
จับตาปลายปี XBB จากยุโรปมาแรง
ห่วงเชื้อแพร่เร็ว-ดื้อภูมิฯ-ติดซ้ำได้
สธ.สั่งรพ.ทั่วปท.ระดมฉีดวัคซีน
อย่างน้อยคนละ 4 เข็มก่อนปีใหม่
ติดเชื้อโควิดรายสัปดาห์พุ่งต่อเนื่อง ป่วยใหม่นอน รพ. 4,914 คน เฉลี่ย 702 คน/วัน ตาย 74 ศพ เฉลี่ย 10 คน/วัน ปลัด สธ.รับแนวโน้มระบาดสูงขึ้น โดยเฉพาะกทม.-ปริมณฑลและจว.ท่องเที่ยว สั่งรพ.ทั่วประเทศเพิ่มจุดฉีดวัคซีน ย้ำคนที่ฉีดเกิน 3 เดือนแล้ว
ต้องฉีดเข็มกระตุ้น “อนุทิน”รับลูกนายกฯสั่งลุยฉีดวัคซีนให้ปชช.ทุกกลุ่ม ลั่นต้องอย่างน้อย 4 เข็ม กรมวิทย์ฯ เผยไทยพบโอมิครอน BA.2.75 เพิ่มขึ้นถึง 58% คาดปลายปีอาจเป็นสายพันธุ์ XBB มากขึ้น เพราะนักท่องเที่ยวยุโรปหนีหนาวมาไทยเพิ่ม แนะรับเข็มกระตุ้นก่อนปีใหม่
เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงสถานการณ์ระบาดของเชื้อโควิด-19 ของประเทศไทยว่า กรมควบคุมโรค รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 20-26 พฤศจิกายน แนวโน้มการระบาดเพิ่มขึ้น มีผู้ป่วยรายใหม่เข้ารักษาในโรงพยาบาล 4,914 ราย เฉลี่ยวันละ 702 ราย เทียบกับช่วงสัปดาห์ก่อนหน้าตั้งแต่วันที่ 13 - 19 พฤศจิกายนมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3,957 คน เฉลี่ยวันละ 565 คน มีผู้ป่วยปอดอักเสบ 553 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจ 319 ราย มีผู้เสียชีวิต 74 ราย เฉลี่ยวันละ 10 ราย เทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าที่เสียชีวิตรวม 69 คน เฉลี่ยวันละ 9 คน หายป่วยสะสม 2,483,809 ราย นับตั้งแต่ 1 มกราคม 2565 เสียชีวิตสะสม 11,482 ราย นับตั้งแต่ 1 มกราคม 2565
กทม.-ปริมณฑล-จว.ท่องเที่ยวระบาดพุ่ง
“โดยเฉพาะช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบการระบาดเพิ่มในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยวภาคตะวันออกและภาคใต้ ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ว่า จะมีการระบาดเพิ่มขึ้นช่วงปลายปี เนื่องจากเป็นฤดูหนาว ประชาชนผ่อนคลายมาตรการและมีกิจกรรมรวมตัวกันมากขึ้น ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ข้อมูลผู้เสียชีวิตที่ผ่านมา พบว่าเป็นการติดเชื้อครั้งแรก ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุและมีโรคประจำตัวเรื้อรัง ปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือ ไม่ได้รับวัคซีน หรือรับวัคซีนไม่ครบ หรือได้รับเข็มสุดท้ายนานเกินกว่า 3 เดือน”นพ.โอภาสระบุ
สั่งรพ.ทั่วปท.เพิ่มจุดฉีดวัคซีน
และย้ำว่า วัคซีนโควิดเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดการเสียชีวิตได้ หลังฉีดวัคซีนไประยะหนึ่งแล้ว ภูมิคุ้มกันที่มีจะลดลง จึงต้องฉีดเข็มกระตุ้น ดังนั้น หากยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเลย ขอให้รีบมาฉีด และหากฉีดกระตุ้นเข็มสุดท้ายนานเกิน 4 เดือนแล้ว ขอให้ไปฉีดเพิ่ม
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าวอีกว่า จากข้อมูลพบว่า การรับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 4 ช่วยลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้ เพื่อเร่งเสริมภูมิคุ้มกันให้ทันช่วงปลายปี ที่จะมีกิจกรรมเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ สธ.ประสานให้เพิ่มสถานที่ฉีดวัคซีน โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยว และกำชับโรงพยาบาลในสังกัดทุกจังหวัดให้เปิดจุดบริการฉีดวัคซีน รวมถึงจัดบริการเชิงรุกในกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงที่เป็นกลุ่มเสี่ยงด้วยแล้ว อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีการฉีดวัคซีนแล้ว ตี่ประชาชนยังต้องให้ความสำคัญกับมาตรการป้องกันส่วนบุคคล โดยเฉพาะการให้หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ
ยันเตียง-ยาเวชภัณฑ์มีพร้อม
ปลัด สธ. กล่าวว่า แม้จะมีการฉีดวัคซีนแล้ว แต่ยังต้องให้ความสำคัญกับมาตรการป้องกันส่วนบุคคล โดยเฉพาะการสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่สาธารณะ ส่วนกลุ่ม 608 ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนหรือฉีดไปแล้วเกิน 6 เดือน ควรเลี่ยงการรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น หรือร่วมกิจกรรมที่คนจำนวนมากโดยไม่สวมหน้ากากอนามัย สำหรับคนในครอบครัวที่ไปสถานที่เสี่ยงหรือมีกิจกรรมรวมกลุ่มคนจำนวนมากในช่วง 5 วัน ควรงดใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้
นพ.โอภาสยังยืนยันด้วยว่า ได้สั่งการให้โรงพยาบาลทั่วประเทศจัดยาเวชภัณฑ์ไว้ให้เพียงพอ รวมถึงเตรียมเตียงระดับ 2-3 ไว้รองรับผู้ป่วยอาการปานกลางถึงรุนแรง ซึ่งขณะนี้ยังมีเพียงพอรองรับสถานการณ์เช่นกัน
ย้ำทุกคนต้องฉีดเข็มกระตุ้น
ด้านนพ.จักรรัฐ พิทยาวงค์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค สธ.กล่าวว่า สถานการณ์ติดเชื้อขณะนี้ เพิ่มขึ้นแต่ไม่มากเท่าในอดีต อัตรารับวัคซีนสะสม 143,155,910 โดส แบ่งเป็น วัคซีนเข็มที่ 1 ร้อยละ 82.07 จำนวน 57 ล้านโดส เข็มที่ 2 ร้อยละ 77.02 จำนวน 53 ล้านโดส และเข็มที่ 3 จำนวน 32 ล้านโดส อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจำนวนผู้เสียชีวิตจะพบว่า ยังเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ มีโรคประจำตัว หรือกลุ่ม 608 และ ได้รับวัคซีนไม่ครบ หรือไม่ได้รับวัคซีนเลย ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ติดเชื้อโควิดเพิ่มมากขึ้น มาจากกิจกรรมที่ทำ และไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นนานเกิน 3 เดือน นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของเชื้อไวรัสที่เปลี่ยนแปลงหลบภูมิคุ้มกัน แต่ยังอยู่ในตระกูลโอมิครอนเหมือนเดิม ดังนั้น คนที่ได้รับวัคซีนหรือผ่านการติดเชื้อมาแล้วเกิน 3 เดือน ควรฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ป้องกันป่วยหนักและลดปัจจัยเสี่ยงติดเชื้อจากกิจกรรม โดยเฉพาะควรเลี่ยงรับประทานอาหารร่วมกัน
ตีปี๊บรับวัคซีน4เข็ม-หยุดยาวธค.ระวัง
“ขณะนี้ต้องเร่งรณรงค์รับวัคซีนให้ครบ 4 เข็ม โดยดำเนินการ 3 อย่างคือ คนที่รับวัคซีนนานเกิน 3 เดือน หรือ ผ่านการติดเชื้อ มาแล้วเกิน 3 เดือน ต้องได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น ขณะนี้ รพ.ทุกแห่ง เตรียมจัดเพิ่มพื้นที่ฉีดวัคซีน ทั้งนี้ ปัจจัยความรุนแรงของโรคที่ลดลง มาจากร่างกายมีภูมิคุ้มกันเพราะวัคซีน แต่หากระยะห่างของการรับวัคซีนนานเกิน 3 เดือน ก็มีโอกาสที่จะมีอาการรุนแรงได้ ดังนั้น หากเริ่มมีอาการ ต้องรีบไปพบแพทย์ เพื่อได้รับยาฉีด เช่น เรมเดซิเวียร์ หรือ แพ็กซ์โลวิด เพราะลำพังยากินอาจไม่เพียงพอ ย้ำว่า ในช่วยหยุดยาว ของเดือนธันวาคมนี้ ต้องระวังตัว สวมหน้ากากอนามัย งดกิจกรรมเสี่ยง เช่น รับประทานอาหารแบบรวมกลุ่มกับคนที่ได้รับวัคซีนไม่ครบ 4 เข็ม เพื่อไม่ให้ติดเชื้อแล้วรุนแรง” นพ.จักรรัฐ กล่าว
อนุทินลั่นต้องฉีดอย่างน้อย4เข็ม
ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุขกล่าวว่า การระบาดของเชื้อไวรัสโควิดขณะนี้เริ่มมีการติดเชื้อเพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้สูงมากเหมือนสมัยก่อน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำเรื่องการฉีดวัคซีนโควิดเข็มกระตุ้น ตนหารือกับปลัด สธ. ว่าเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะประกาศนโยบายว่า คนไทยทุกคนต้องได้รับวัคซีนอย่างน้อยคนละ 4 เข็ม ซึ่งปลัด สธ.นำข้อมูลการแพทย์มายืนยันว่าทำได้ จึงขอให้ประชาชนไปรับวัคซีนที่โรงพยาบาล (รพ.) ใกล้บ้าน ซึ่งขณะนี้เราให้บริการถึงระดับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) หากจะรับวัคซีนชนิดใด ให้แจ้งแพทย์ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่า ขณะนั้นมีวัคซีนชนิดใดให้บริการบ้าง อย่างไรก็ตาม ข้อมูลการแพทย์ชี้ชัดว่า การรับวัคซีนเข็มกระตุ้นไม่ว่ายี่ห้อใด เช่น ไฟเซอร์ หรือแอสตร้าเซนเนก้า ก็มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน
ไทยเจอเชื้อBA.2.75เพิ่ม58%
วันเดียวกัน นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงความคืบหน้าการติดตามเชื้อโควิด-19 ที่ระบาดในขณะนี้ว่า พบการติดเชื้อโควิดแบบสมอลเวฟ ซึ่งแต่ละประเทศเกิดการระบาดของแต่ละสายพันธุ์ที่ต่างกัน ส่วนของไทยนั้นพบการติดเชื้อในกลุ่มสายพันธุ์ BA.2.75 มากที่สุด เป็น 58% เนื่องจากมีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวอินเดียเดินทางมาไทยมากขึ้น แต่คาดว่าช่วงปลายปี 2565 ที่เข้าหน้าหนาว จะมีนักท่องเที่ยวชาวยุโรปหนีหนาวเข้าไทยอีกจำนวนมาก อาจทำให้สายพันธุ์โควิดที่พบในไทยเปลี่ยนแปลงไปอีก อาจพบสายพันธุ์ XBB มากขึ้นจากชาวยุโรป
ชี้ไวรัสแพร่เร็วหลบภูมิเก่ง-ติดซ้ำได้
นพ.ศุภกิจกล่าวต่อว่า ขณะนี้ลักษณะการติดเชื้อทั่วโลกคล้ายคลึงกันคือ ไวรัสเปลี่ยนแปลงและหลบภูมิคุ้มกันคือ ติดเชื้อเร็วมากขึ้น คนป่วยป่วยซ้ำได้ เพราะการติดเชื้อเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อีกครั้ง วัคซีนอาจไม่ได้ให้ประสิทธิภาพเต็มที่เหมือนในอดีต ปฏิกิริยาของผู้ติดเชื้อโควิดซ้ำ จะพบความแตกต่างกัน แต่ละคนอาการไม่เหมือนกัน ภูมิคุ้มกันแต่ละคนต่างกัน และร่างกายแต่ละคนก็แข็งแรงต่างกัน อีกทั้ง ยังมีปัจจัยโรคประจำตัวทำให้อาการแต่ละคนต่างกัน คำแนะนำคือต้องรับวัคซีนเข็มกระตุ้น วัคซีนพื้นฐานที่ทุกคนควรได้รับ 4 เข็ม ไม่ใช่ 3 เข็ม เพราะสถานการณ์ขณะนี้แตกต่างจากเดิม และการติดเชื้อเกิดภูมิคุ้มกันธรรมชาติ ร่วมกับวัคซีน อาจไม่เพียงพอ หากติดเชื้อมานานแล้ว ดังนั้น การปรับพฤติกรรมส่วนบุคคล ทั้งการสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ หลีกเลี่ยงสถานที่แออัดยังจำเป็น เพื่อลดติดเชื้อโควิด
หมอจุฬาฯเตือนโควิดลามเร็ว
รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กถึงตัวเลขติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้นว่า คาดจำนวนติดเชื้อรายวัน อย่างน้อย 23,400 คน สูงขึ้นกว่าสัปดาห์ก่อน 24.18% และสูงกว่าสองสัปดาห์ก่อน 55.2% หรือ 1.55 เท่า ทั้งนี้ รอบสัปดาห์ที่ผ่านมา สังเกตได้ว่ามีรายงานข่าวเสียชีวิตที่บ้าน คอนโด ป้อมหลายรายที่ตรวจพบ ATK เป็นบวก และน่าจะยังไม่รวมในรายงาน …สถานการณ์ปัจจุบัน ชัดเจนว่าขยายวงมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องป้องกันตัวสม่ำเสมอระหว่างที่ใช้ชีวิตประจำวัน ทำงาน เรียน ท่องเที่ยวเดินทางการใส่หน้ากากอย่างถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงไปได้มาก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี