สธ.ห่วงอากาศเย็นโควิดพุ่ง
จี้พาบุตรหลานไปฉีดวัคซีน
สอบ6ขวบดับมีโรคประจำตัว
‘หมอยง’ชี้โอมิครอนยังแรง
คาดพีคสุดหลังเทศกาลปีใหม่
กรมควบคุมโรค พบเด็ก 6 ขวบเสียชีวิตจากโควิด พบมีโรคประจำตัว ไม่ได้รับวัคซีนโควิด-19 จึงทำให้มีอาการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต แนะกลุ่มเสี่ยงผู้สูงอายุ ป่วยเรื้อรัง ยังไม่ได้รับวัคซีน รวมถึงควรรีบพาบุตรหลานไปรับวัคซีน เผยติดเชื้อโควิดเพิ่ม ห่วงอากาศเริ่มเย็น-หยุดยาว ปชช.เดินทาง
เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2565 ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากกรณีมีรายงานข่าวเด็กอายุ 6 ขวบ ติดเชื้อโควิด-19 และเสียชีวิตที่จังหวัดนครราชสีมานั้น กรมควบคุมโรคได้มอบหมายให้สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 จ.นครราชสีมา ลงพื้นที่สอบสวนโรคร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ พบว่า ผู้เสียชีวิตรายดังกล่าว มีโรคประจำตัวเรื้อรัง ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง ประกอบกับ ไม่ได้รับวัคซีนโควิด-19จึงทำให้มีอาการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต
อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวอีกว่า ช่วงนี้พบผู้ติดเชื้อและป่วยด้วยโรคโควิด-19 เพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้คาดการณ์ไว้ เนื่องจากอากาศเริ่มเย็นลงและมีการเปิดเทอม รวมถึงมีวันหยุดยาว ประชาชน จึงเดินทางออกไปทำกิจกรรมต่างๆ
สถานการณ์การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในเขตสุขภาพที่ 9 มีพื้นที่รับผิดชอบ 4 จังหวัด ได้แก่ จ.นครราชสีมา จ.ชัยภูมิ จ.บุรีรัมย์ และ จ.สุรินทร์ ข้อมูลตั้งแต่วันที่ (5เมษายน–11พฤศจิกายน2565)พบว่า ประชาชนฉีดเข็มที่ 1 (ร้อยละ 75.56) เข็มที่ 2 (ร้อยละ 71.3) เข็มที่ 3 (ร้อยละ 33.8) เข็มที่ 4 (ร้อยละ 5) จึงขอแนะนำกลุ่มเสี่ยงได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังในจังหวัดนครราชสีมา ทั้งผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนหรือรับวัคซีนเข็มสุดท้ายนานเกิน 4 เดือนแล้ว เข้ารับการฉีดวัคซีนโดยเร็ว รวมทั้งพาบุตรหลานเข้ารับวัคซีนที่โรงพยาบาลชุมชน หรือโรงพยาบาลศูนย์ได้ทุกวัน
ด้านนพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเสริมว่า เด็กที่ไม่ฉีดวัคซีน เมื่อติดโควิดมีโอกาสป่วยหนัก เนื่องจากเกิดกลุ่มอาการอักเสบหลายระบบของอวัยวะภายในในเด็ก (Multisystem inflammatory syndrome in children: MIS-C) จนมีอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ แต่วัคซีนสามารถป้องกันภาวะการป่วยนี้ได้ จึงขอให้ผู้ปกครองรีบพาบุตรหลานไปฉีดวัคซีนโดยเร็ว ทั้งเด็กเล็กอายุ 6 เดือน–4ปี (วัคซีนฝาสีแดง) และอายุ 5-11ปี(วัคซีนฝาสีส้ม) เพื่อเป็นการเพิ่มภูมิคุ้มกันในช่วงฤดูหนาวที่มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้น
พร้อมขอย้ำว่าวัคซีนสำหรับเด็กเล็กฝาสีแดงมีประสิทธิภาพ มาตรฐาน และความปลอดภัย ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และตั้งแต่เริ่มฉีดวัคซีนเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2565 เป็นต้นมา ยังไม่พบเด็กมีอาการแพ้วัคซีนแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ขอแนะนำมาตรการป้องกันตนเอง จากโรคโควิด-19 ดังนี้ 1.ประชาชนควรฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ครบ 4 เข็ม ซึ่งสามารถเดินทางไปฉีดวัคซีนได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้านทั่วประเทศ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 2.กลุ่มเสี่ยง 608 ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน หรือฉีดเข็มสุดท้ายเกิน 6 เดือนแล้ว สามารถรับการฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (Long-acting Antibodies; LAAB) ซึ่งจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันในผู้ที่ตอบสนองต่อวัคซีนได้น้อยกว่าคนทั่วไป เมื่อฉีดเข้าไปแล้วร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อโควิดได้สูงทันทีหลังฉีด
3.สำหรับผู้ที่ไปทำกิจกรรมในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด ควรหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้สูงอายุที่ยังไม้ได้ฉีดวัคซีน 4.กลุ่มเสี่ยง 608 ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน หรือฉีดเข็มสุดท้ายเกิน 6 เดือนแล้ว ให้งดทานข้าวร่วมกับผู้อื่น หรือไม่เข้าร่วมกิจกรรมที่มีคนจำนวนมากโดยไม่สวมหน้ากาก 5.ขอให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ เช่น โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า และรถโดยสารขนส่งสาธารณะ รวมทั้งเมื่ออยู่ใกล้ชิดผู้สูงอายุ เพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19
นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เตือนการระบาดของโควิด-19 เป็นไปตามฤดูกาล ในรอบของปี ในระลอกนี้ การระบาดจะเริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นมา และจะขึ้นสูงสุดหลังปีใหม่หรือเดือนมกราคม และจะไปเริ่มลดลงตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป จนเหลือน้อยมากในเดือนมีนาคม และจะไปขึ้นการระบาดรอบใหม่ของปีในฤดูฝน หรือเดือนมิถุนายน ถึงเดือนกันยายน เป็นไปตามฤดูกาลของโรคทางเดินหายใจ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นภูมิต้านทานให้สูงขึ้น ในขณะนี้ แทนที่จะรอไปถึงเดือน มกราคม หรือกุมภาพันธ์ ซึ่งอยู่ขาลง
เมื่อโควิด-19 อยู่ขาขึ้น เราจึงควรจะรีบให้วัคซีน แทนที่จะไปรอวัคซีนตัวใหม่ หรือวัคซีน 2 สายพันธุ์ ที่กว่าจะเข้ามาก็อยู่ในขาลงของโควิด-19
วัคซีนในบ้านเรา ถึงแม้จะเป็นสายพันธุ์เดิม การกระตุ้นในระดับเซลล์ เพื่อลดความรุนแรงของโรค สามารถทำได้ดีมากวัคซีนตามสายพันธุ์ ถึงแม้จะมีการเพิ่มขึ้นมา จะป้องกันการติดเชื้อ เพราะเป็นแอนติบอดี้ หรือ B cell และเมื่อภูมิขึ้นมาแล้วก็ลดลง และเมื่อลดลงถึงระดับหนึ่งไม่ว่าจะเป็นวัคซีนอะไร ก็เกิดการติดเชื้อได้ จึงไม่มีวัคซีนเทพในการป้องกันการติดเชื้อ
การลดความรุนแรงของโรคจึงขึ้นอยู่กับจำนวนเข็มที่ฉีด มากกว่าชนิดของวัคซีนที่ฉีด แน่นอนการให้วัคซีนแต่ละครั้งควรมีระยะเวลาห่างกัน โดยทั่วไปในเข็มกระตุ้นยิ่งห่างยิ่งดี แต่ข้อเสียก็คือว่าถ้าห่างเกินไป จะเกิดการติดเชื้อเสียก่อน
ดังนั้นจึงอยากให้ทุกคนได้อย่างน้อย 3 เข็มและถ้าจะฉีดเข็มที่ 4 ก็ควรห่างไป 4-6 เดือน และถ้าได้ 4 เข็มแล้ว มานานมาก เช่นเกิน 6 เดือนไปแล้ว จะให้เข็มที่ 5 ก็ไม่ว่ากัน เพราะเมื่อนานแล้วภูมิคุ้มกันก็จะลดลงไปเป็นจำนวนมาก การกระตุ้นก็เป็นการเพิ่มภูมิต้านทานทั้งแอนติบอดีและระดับเซลล์
ส่วนการกลายพันธุ์ของไวรัส จะกลายพันธุ์ในส่วนของหนามแหลม ที่เป็นส่วนในการป้องกันการติดเชื้อ และ ตลอดปีที่ผ่านมา สายพันธุ์ที่ระบาดในบ้านเราก็ยังเป็น โอมิครอน แต่จะแตกต่างในกลุ่มย่อย เป็น BA.1, BA.2, BA.2.75, BA.4, BA.5 ประชากรไทยติดเชื้อไปแล้วประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ (จากการศึกษาด้วยการเจาะเลือดที่ชลบุรี) ส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อจะเป็นสายพันธุ์โอมิครอน ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อร่วมกับภูมิคุ้มกันที่ได้จากวัคซีน ถือเป็นภูมิคุ้มกันแบบลูกผสมที่ดีมาก และใกล้เคียงกับสายพันธุ์ที่สุด
ส่วนการกลายพันธุ์ที่ออกไปมากอย่างที่มีข่าว เดลตาครอน ไม่ได้มีปัญหาในประเทศไทย การระบาดที่เกิดขึ้น ยังเป็นโอมิครอน อยู่ จึงยังไม่ได้หลีกหนีภูมิต้านทานของประชากรส่วนใหญ่ไปมาก ไม่ได้น่าวิตกแต่อย่างใด
ดังนั้นขณะนี้อยู่ในขาขึ้นตามฤดูกาล ควรได้รับวัคซีนในการป้องกันที่เหมาะสม ที่มีอยู่ในบ้านเรา และจะไม่รอจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ หรือรอวัคซีนสายพันธุ์ใหม่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี