24 พ.ย. 2565 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เยี่ยมชมการปลูกผักสวนครัวของประชาชน ในโครงการ “บ้านนี้มีรักปลูกผักกินเอง”ที่ ต.โก่งธนู อ.เมือง จ.ลพบุรี
“เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs)” เป็นเป้าหมายที่รับการรับรองในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (UN) ในเดือนก.ย.2558 มีทั้งหมด 17 ข้อ โดยที่ประชุมคาดหวังว่า รัฐชาติต่างๆที่เป็นสมาชิกจะนำไปปฏิบัติให้บรรลุผลได้ภายในปี 2573 เพื่อให้ทิศทางการพัฒนาของโลกใบนี้เป็นไปอย่างยั่งยืนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม
โดยในระดับโลก “ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการพัฒนาเศรษฐกิจ” เป็นภัยคุกคามสำคัญที่ทุกประเทศต้องเผชิญ ขณะที่ในประเทศไทยเองก็ยังมีปัญหา “ความยากจน-เหลื่อมล้ำ” ที่แม้ภาครัฐหลายยุคสมัยพยายามแก้ไข แต่ก็ยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจนัก ซึ่งปัจจัยสำคัญประการหนึ่งมาจาก “การพัฒนาที่ไม่ต่อเนื่อง” อีกทั้งไม่ตอบโจทย์ความต้องการของพื้นที่
สุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย บอกเล่าความเป็นไปของบ้านเมืองผ่านประสบการณ์การรับราชการมาอย่างยาวนาน ว่า “สิ่งที่ท้าทายที่สุดในการไปให้ถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนคือการลงมือทำจริง” เพราะการพูดว่าจะทำนั่นทำนี่ใครๆ ก็พูดได้ ขณะเดียวกันการลงมือทำก็ยังขาดความต่อเนื่อง เช่น รัฐบาลหนึ่งอยากทำอย่างหนึ่ง อีกรัฐบาลก็อยากทำอีกอย่างหนึ่ง หรือผู้ว่าราชการจังหวัดคนหนึ่งสนใจเรื่องหนึ่งแต่ผู้ว่าฯ อีกคนก็สนใจอีกเรื่องหนึ่ง เป็นต้น
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ข้อ ซึ่งจะช่วยให้ทั้งชีวิตคน สิ่งแวดล้อมและโลกอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข จำเป็นต้องทำให้เกิดขึ้นจริงให้ได้ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ปัญหาความเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ (Climate Change) เช่น อุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้อากาศวิปริตแปรปรวนจนเกิดภัยธรรมชาติในระดับที่ไม่เคยเกิดมาก่อนก็จะตามมา
“ทุกคนก็เห็นพ้องต้องกัน ทางกระทรวงมหาดไทย ผมเองก็เห็นจุดอ่อนว่ามันไม่ค่อยทำกันอย่างจริงจังนะ คนที่มีหน้าที่หรือไม่มีหน้าที่ก็แล้วแต่ แต่มันน่าจะเป็นหน้าที่ของทุกคน เขาไม่ค่อยได้ทำกันหรอก เราก็กลัวอย่างนั้นอันที่หนึ่ง อันที่สองเรากลัวว่าแนวทางมันไม่ยั่งยืน ดังนั้นเรื่องแรกที่สุดผมก็ชวนผู้ว่าราชการจังหวัด 76 จังหวัด มาในนามจังหวัดนะ 76 จังหวัด 76 คน ให้แต่ละจังหวัดไปพิจารณาแล้วก็ช่วยกัน ตัดสินใจว่าเราจะมาทำสัญญาร่วมกันไหม? ว่าเราจะมีเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน” สุทธิพงษ์ กล่าว
จากข้อสรุปข้างต้น นำไปสู่การประกาศ “1 จังหวัด 1 คำมั่นสัญญา เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” มีเป้าหมายทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่ง สุทธิพงษ์ เผยว่า คำมั่นสัญญานี้มีการจัดพิธีลงนามบันทึกความตกลงร่วม (MOU) กันที่สำนักงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย โดยมี กีตา ซับบระวาล (Gita Sabharwal) ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย ร่วมในพิธีด้วย
และเพื่อให้แนวทางเกิดความมั่นคงรวมถึงสร้างความมั่นใจ จึงขอให้อธิบดีกรมการปกครอง จัดทำแนวทางการทำงานสำหรับนายอำเภอ ในชื่อโครงการ “นายอำเภอบำบัดทุกข์บำรุงสุขแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน” โดยคำว่า “บูรณาการ”แบ่งเป็น 2 ส่วน ประกอบด้วย 1.เนื้องาน เช่น ด้านสาธารณสุข ด้านที่อยู่อาศัย ด้านการทำมาหากิน ฯลฯ ซึ่งทุกเรื่องมีกระทรวงต่างๆรับผิดชอบอย่างครบถ้วน
แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอต้องเป็นผู้นำ “ผู้ว่าฯ-นายอำเภอ เปรียบเสมือนเป็นนายกรัฐมนตรีในจังหวัดหรืออำเภอที่ตนเองปฏิบัติหน้าที่ จึงต้องบูรณาการงานของทุกกระทรวงทบวง กรม” เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตคนดีขึ้น กับ 2.เพื่อนร่วมอุดมการณ์ หรือทีมงานร่วมขับเคลื่อน “เพื่อปิดจุดอ่อนที่มีมาตลอด นั่นคือผู้ว่าฯ และนายอำเภอมีวาระการเลื่อนตำแหน่ง โยกย้ายหรือเกษียณอายุ ทำให้งานด้านการพัฒนาขาดความต่อเนื่องและไม่ยั่งยืน” เพราะไม่ได้อยู่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเป็นเวลานาน
“ทีมของท่านนายอำเภอ ทีมของท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องไม่มีเฉพาะข้าราชการ ไม่ใช่เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วทำงานกับหัวหน้าส่วนราชการ ทำกับเกษตรอำเภอ ศึกษาธิการ ผอ.เขตการศึกษา สาธารณสุขอำเภอ วัฒนธรรมจังหวัด พัฒนาการอำเภอ ที่ดินอำเภอ อะไรอย่างนี้ ไม่ใช่! แค่นั้นไม่พอ! ทีมที่เราคิดว่ามันจะเป็นเหมือนกับสิ่งที่ทำให้เรามั่นใจว่าสิ่งดีๆ ที่คิดจะทำมันจะถูกทำต่อ” ปลัดกระทรวงมหาดไทย ระบุ
สุทธิพงษ์ ขยายความเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสร้างทีมงานเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนที่มีแนวร่วมมากกว่าภาครัฐ ว่าประกอบด้วย 1.ผู้นำศาสนา เช่น พระสงฆ์ ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ หรือโต๊ะอีหม่ามในชุมชนของผู้นับถือศาสนาอิสลาม บาทหลวงในชุมชนชาวคริสต์ เป็นต้น 2.ภาควิชาการ ครูเป็นข้าราชการที่ไม่ค่อยมีการโยกย้าย สอนที่โรงเรียนไหนก็มักจะอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน บางท่านสอนตั้งแต่รุ่นพ่อถึงรุ่นลูกหรือแม้แต่รุ่นหลาน รวมถึงยังมีอาจารย์มหาวิทยาลัยสำหรับจังหวัดที่มีมหาวิทยาลัยตั้งอยู่
3.ภาคเอกชน คนทำธุรกิจที่ใดก็มักจะปักหลักอยู่ที่นั่นไม่ค่อยย้ายไปไหน 4.ภาคประชาสังคม หมายถึงกลุ่มที่ประชาชนรวมตัวกันและมีผู้นำ เช่น กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ที่มีโครงสร้างลงไปถึงระดับตำบล กลุ่มอาชีพอย่างเครือข่ายเกษตรกร หรืออาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.)เป็นต้น ภาคประชาสังคมนี้ไม่จำกัดจำนวน จึงขึ้นอยู่กับความพร้อมหรือความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่
5.ภาคประชาชน หมายถึงบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกลุ่มต่างๆ แต่ได้รับความเคารพนับถือ เช่น ผู้อาวุโสในชุมชน แพทย์พื้นบ้านฯลฯ ซึ่งมีความรู้และความคิดดีรวมถึงมีจิตอาสา และ 6.สื่อมวลชน เพราะการสื่อสารกับสังคมเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งทีมทั้งหมดนี้จะกลายเป็นทีมประจำพื้นที่ และที่ผ่านมาได้ทดลองทำไปแล้วในระดับอำเภอและได้ผลดีมาก เกิดความคึกคักของบรรยากาศการทำงานร่วมกันระหว่างประชาชนกับนายอำเภอ
“ทีมคนพวกนี้มันเหมือนสภาประชาชน แล้วเขาไม่ได้ย้ายตามนายอำเภอ แต่เขาเริ่มกระบวนการในการมารวมตัวกันแล้วก็ช่วยกันเสนอแนะถึงปัญหาและแนวทางในการพัฒนาอย่างยั่งยืน แล้วก็ร่วมหัวจมท้ายลงมือทำงานด้วยกัน นายอำเภอก็รองเท้าสึกก่อนก้นกางเกงขาด เหมือนที่สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยท่านสอนไว้ คือนั่งอยู่ที่ที่ว่าการอำเภอไม่ได้ ต้องไปพบปะ ไปคุย ไปช่วยกันทำงานกับชาวบ้านในตำบล-หมู่บ้านต่างๆ” สุทธิพงษ์ ฉายภาพโครงสร้างเครือข่ายการทำงานที่นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวในตอนท้ายว่า แม้ในเวลาต่อมานายอำเภอจะมีความดีความชอบจนได้รับการเลื่อนตำแหน่ง หรือโยกย้ายตามวาระ หรือเกษียณอายุราชการ นายอำเภอคนใหม่ที่มาดำรงตำแหน่งแทนก็จะต้องทำงานร่วมกับเครือข่ายเหล่านี้ ซึ่งหากคนในพื้นที่ประสานเสียงว่าต้องการจะขับเคลื่อนเรื่องใดนายอำเภอก็คงไม่ไปขัดแย้งเพราะมีหน้าที่รับใช้ประชาชน ปัญหาการพัฒนาที่ไม่ต่อเนื่องก็จะลดลง
อีกทั้งนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด เข้ากับบริบทภูมิสังคมและเป็นความต้องการของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง!!!
#WorldSoilDay #วันดินโลก #soilswherefoodbegins #Soils4Nurition #FAO #MOI #กระทรวงมหาดไทย #บำบัดทุกข์บำรุงสุข #SDGsforAll #ChangeforGood
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี