โควิดไทยพุ่ง
BA.2.75’กลายเป็นสายพันธ์ุหลัก
ผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มเป็น75.4%
ป่วยแล้วเป็นซ้ำได้อาการไม่รุนแรง
สธ.ย้ำวัคซีนเข็มกระตุ้นยังจำเป็น
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เผยความคืบหน้าการติดตามสายพันธุ์โควิด-19 ในไทยพบ สายพันธุ์ “BA.2.75” มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น จนกลายเป็นสายพันธุ์หลักในประเทศและไม่พบสายพันธุ์เดลตาแล้ว ด้านหมอยงเผยผลวิจัยไวรัสจุฬาฯพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 60-70% เป็นการติดเชื้อไม่มีอาการหรือไม่รู้ว่าติดเชื้อ คนเคยติดเชื้อติดซ้ำได้ แต่อาการรุนแรงน้อยลง ย้ำฉีดวัคซีนมาแล้ว 6 เดือน ควรฉีดกระตุ้น
วันที่ 7 ธันวาคม นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยผลเฝ้าระวังสายพันธุ์เชื้อไวรัสโควิด-19 รอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 26 พฤศจิกายน- 2 ธันวาคม จากผลการตรวจแบบ SNP/Deletion จำนวน 435 ราย พบว่า ภาพรวมสัดส่วนของสายพันธุ์ BA.2.75 เพิ่มขึ้นเป็น 75.9% จากสัปดาห์ก่อนที่มีสัดส่วน 58.9%
“เมื่อแยกตามกลุ่มพบว่าในกลุ่มผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มขึ้นจาก 60.1% เป็น 75.4% ทำให้ขณะนี้สายพันธุ์ BA.2.75 กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในประเทศ แทนที่สายพันธุ์ BA.5” นายแพทย์ศุภกิจกล่าว
และว่า จากการถอดรหัสพันธุกรรมแบบทั้งตัวของตัวอย่างในประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน พบสายพันธุ์ BA.2.75 และลูกหลาน BA.2.75 เช่น BA.2.75.2, BA.2.75.5.1 (BN.1), BA.2.75.1.2 (BL.2), BA.2.75.3.4.1.1.1.1 (CH.1.1) มากกว่า 856 ราย
ขณะเดียวกัน ยังพบสายพันธุ์ BQ.1 ที่ระบาดในอเมริกาและยุโรป 13 ราย ส่วนสายพันธุ์ XBB และลูกหลานที่ระบาดมากในสิงคโปร์ พบ 30 ราย ส่วนสายพันธุ์ XBC หรือเดลตาครอน ซึ่งเป็นสายพันธุ์ลูกผสมของเดลตาและโอมิครอน BA.2 ที่มีข่าวระบาดในฟิลิปปินส์ พบเพียง 1 ราย และเนื่องจากขณะนี้สายพันธุ์ที่ระบาดในประเทศเกือบทั้งหมด เป็นสายพันธุ์โอมิครอน ไม่พบสายพันธุ์เดลตาแล้ว จึงมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดการผสมกันเป็นสายพันธุ์ลูกผสมของเดลตาและโอมิครอนขึ้นในประเทศ หากไม่พบว่าแพร่ได้เร็วก็จะหายไปในที่สุด
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กล่าวต่อว่า สำหรับสายพันธุ์ BA.2.75 มีการกลายพันธุ์อย่างหนึ่งที่สำคัญคือ G446S บนโปรตีนหนาม ซึ่งจับกับตัวรับในเซลล์ของมนุษย์และเกี่ยวกับการหลบภูมิคุ้มกัน ทั้งนี้ สถานการณ์ในประเทศที่มีสัดส่วนสายพันธุ์ BA.2.75 เพิ่มขึ้นเร็วจนกลายเป็นสายพันธุ์หลักแทนที่ BA.5 บ่งชี้ว่ามีข้อได้เปรียบในการแพร่ระบาด เป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลให้พบผู้ติดเชื้อในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะนี้ ทำให้ผู้ที่เคยติดเชื้อสายพันธุ์ก่อนหน้าป่วยซ้ำได้อีก แต่ยังไม่พบสัญญาณความรุนแรงของเชื้อที่กลายพันธุ์
อย่างไรก็ตาม กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยังคงเฝ้าระวังติดตามการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิดต่อเนื่อง ขณะนี้อยู่ระหว่างเพาะเชื้อสายพันธุ์ที่พบใหม่ เพื่อทดสอบกับภูมิคุ้มกันของคนไทยว่าสามารถลบล้างเชื้อได้มากน้อยเพียงใด ขณะที่การปฏิบัติตนตามมาตรการป้องกันโรค โดยเฉพาะการสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือ รวมถึงฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นยังจำเป็น โดยเฉพาะผู้รับวัคซีนเข็มสุดท้ายนานเกิน 4 เดือน ให้ไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้น ลดโอกาสติดเชื้อ
ด้านศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กประเด็นโควิด-19 ประชากรไทยติดเชื้อไปแล้วร้อยละ 60-70ว่า จากการศึกษาของศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก จุฬา 2 โครงการ โครงการแรกเป็นการศึกษาในเด็กอายุ 5-6 ขวบในปีที่ผ่านมา โดยตรวจเลือด 2 ครั้งห่างกัน 1 ปีประมาณ 190 คน พบว่าปี 2564 หรือยุคเดลตา กลุ่มเด็กอายุดังกล่าวในกรุงเทพมหานคร (กทม.)ติดเชื้อไปแล้วประมาณ 10% มาถึงเดือนธันวาคมปีนี้ พบว่าติดเชื้อไปแล้วเพิ่มสูงขึ้นอยู่ระหว่าง 60-70%ของเด็กทั้งหมด และในจำนวนนี้ 35% เป็นการติดเชื้อแบบไม่มีอาการหรือไม่รู้ว่าติดเชื้อ จากการซักประวัติ ไม่ทราบว่ามีการติดเชื้อ แต่การตรวจเลือดพบหลักฐานติดเชื้อ แสดงให้เห็นว่ามีเด็กจำนวนมากที่ติดเชื้อไปแล้ว เป็นชนิดไม่มีอาการ และไม่รู้ว่าติดเชื้อไปแล้ว
ขณะเดียวกันการศึกษาร่วมกับจ.ชลบุรี โดยตรวจเลือดตั้งแต่ 6 เดือนจนถึง 80 ปี ตรวจไปแล้ว 700 คน พบติดเชื้อไปแล้ว จากหลักฐานการตรวจเลือดและประวัติติดเชื้ออยู่ที่ประมาณร้อยละ 60-70 หลักฐานการตรวจเลือด ถ้าติดเชื้อมานานแล้ว โดยเฉพาะติดเชื้อเกินกว่าหนึ่งปี อาจให้ผลเป็นลบได้ การติดเชื้อส่วนใหญ่เกิดขึ้นปีนี้ ช่วงการระบาดด้วยสายพันธุ์ โอมิครอน
ศ.นพ.ยงกล่าวต่อว่า เมื่อตรวจหาภูมิต้านทานแอนติบอดีที่เกิดจากการติดเชื้อหรือวัคซีน จะพบว่าประชากรประมาณร้อยละ 95 มีภูมิต้านทานที่ตรวจพบได้มากบ้างน้อยบ้าง โดยเฉพาะขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าระดับภูมิต้านทานสูงแค่ไหน จึงจะป้องกันหรือลดความรุนแรงของโรคได้
“การติดเชื้อมาแล้ว หรือได้รับวัคซีน ตรวจวัดภูมิต้านทานได้ ก็ติดเชื้อซ้ำได้อีก เราจึงเห็นผู้ติดเชื้อครั้งที่ 2 เพิ่มขึ้นตลอด หลักการของระบบภูมิคุ้มกันการติดเชื้อครั้งที่ 2 น่าจะทำให้ความรุนแรงของโรคลดลง”ศ.นพ.ยงระบุ
สำหรับประสิทธิภาพวัคซีนนั้น ศ.นพ.ยงกล่าวว่า วัคซีนแต่ละชนิด ประสิทธิภาพลดความรุนแรงของโรคไม่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งในการให้ และการป้องกันลดความรุนแรง จะได้ดีหลังจากฉีดเดือนแรกๆและภูมิจะลดลงตามกาลเวลา การให้เข็มกระตุ้นควรเว้นระยะห่างจากครั้งสุดท้าย โดยหลักการแล้วยิ่งห่างยิ่งดี หรือรอให้ภูมิต้านทานลดลงก่อนแล้วค่อยกระตุ้น ระยะเวลาที่ผู้ได้รับครบ 3 หรือ 4 เข็มแล้ว หรือติดเชื้อ มารับการกระตุ้น ควรอยู่ที่ 6 เดือนหรือมากกว่า จะกระตุ้นภูมิต้านทานได้ระดับสูง ในกลุ่มเสี่ยงจะกระตุ้นเร็วกว่านี้สัก 1-2 เดือนสามารถทำได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี