ปัจจุบันข้อพิพาทในคดีทางด้านสิ่งแวดล้อมนั้นมีแนวโน้มจะสูงมากขึ้นทั้งในคดีแพ่ง คดีอาญา คดีปกครอง จนมีประเด็นข้อถกเถียงว่าควรมีศาลสิ่งแวดล้อมและวิธีพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยหรือไม่
สำหรับในประเด็นนี้ผู้เขียนมีความเห็นว่า ข้อพิพาททางสิ่งแวดล้อมนั้น เป็นการโต้แย้งอยู่หลายศาลไม่ว่าจะเป็น ข้อพิพาททางแพ่ง ข้อพิพาททางอาญา ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรมข้อพิพาทต่อหน่วยงานรัฐซึ่งอำนาจของศาลปกครอง รวมถึงข้อพิพาทอันเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมในการทำงานซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาล
แรงงาน จะเห็นได้ว่าข้อพิพาทหรือคดีทางสิ่งแวดล้อมนั้น เกี่ยวพันกับอำนาจในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีหลายศาล ซึ่งแต่ละศาลนั้น ก็มีวิธีพิจารณาคดีใช้บังคับอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิธีพิจารณาคดีแพ่งวิธีพิจารณาความคดีอาญา วิธีพิจารณาคดีปกครอง วิธีพิจารณาคดีแรงงาน รวมถึงข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ในการพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อม โดยหากได้มีการจัดตั้งศาลสิ่งแวดล้อมหรือวิธีพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อม แล้วก็ตาม อาจจะเกิดปัญหาในทางปฏิบัติกล่าวคือ ระบบการพิจารณาคดีข้อพิพาท ทางสิ่งแวดล้อมนั้นมีทั้งข้อพิพาททางแพ่งรวมถึงข้อพิพาททางอาญาซึ่งในประเทศไทยใช้ระบบกล่าวหา ข้อพิพาททางปกครองและข้อพิพาทแรงงานซึ่งในประเทศไทยใช้ระบบไต่สวน โดยหากรวมวิธีพิจารณาความเป็นเล่มและฉบับเดียวกันแล้วหรือมีการจัดตั้งศาลสิ่งแวดล้อมแล้วจะทำให้เกิดความสับสนในการปฏิบัติงาน อีกทั้งไม่สามารถแยกประเภทของข้อพิพาทและเขตอำนาจศาลกันได้อย่างชัดเจน และจะเกิดปัญหาในการตีความเรื่องเขตอำนาจศาล ซึ่งเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ก่อมลพิษโดยเฉพาะผู้ประกอบการมากกว่าที่จะเกิดประโยชน์กับผู้เสียหาย เนื่องจากผู้ก่อมลพิษคงอาศัยช่องว่างในการตีความเรื่องเขตอำนาจศาลเป็นช่องทางการประวิงคดี
แม้ในต่างประเทศ อาทิ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศนิวซีแลนด์ ประเทศสวีเดนประเทศอินเดีย ประเทศจีน รวมถึงประเทศมาเลเซีย จะได้มีการจัดตั้งศาลสิ่งแวดล้อมหรือ วิธีพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อมก็ตาม แต่ผู้เขียนกลับมีความเห็นว่าการอำนวยความยุติธรรมนั้น ไม่ใช่แต่กรณี มีศาลเฉพาะทางหรือกฎหมายเฉพาะทางเพียงอย่างเดียว แต่การผลักดันให้นักกฎหมายและประชาชนมีความรู้และความเข้าใจทางด้านกฎหมายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า เพราะหากมีการจัดตั้งศาลสิ่งแวดล้อมรวมถึงวิธีพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อมแต่ยังไม่ได้ทำการเตรียมความพร้อม ให้กับทรัพยากรบุคคลทางด้านกฎหมายสิ่งแวดล้อมแล้ว ก็ไม่ได้ทำให้ปัญหาข้อพิพาทหรือคดีทางด้านสิ่งแวดล้อมนั้น มีประสิทธิภาพมากขึ้นแต่อย่างใด ในทางกลับกัน แม้ในประเทศไทยยังไม่ได้จัดตั้งศาลสิ่งแวดล้อม หรือวิธีพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อม แต่หากได้ผลักดันและให้ความรู้ โดยบรรจุหลักสูตรกฎหมายสิ่งแวดล้อม ในระดับชั้นปริญญาตรีหรือเนติบัณฑิตฯ รวมถึงให้ความรู้ด้านสิทธิหรือข้อมูลต่างๆ ทางด้านสิ่งแวดล้อม กับประชาชนนักศึกษากลับเห็นว่า จะทำให้ประสิทธิภาพรวมถึงการดำเนินคดีสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยดีมากขึ้นกว่าเดิมโดยไม่ต้องเสียงบประมาณในการจัดตั้งศาลหรืองบประมาณในการจัดจ้างบุคลากรของศาล
ในประเด็นนี้คงต้องรอศึกษากันยาวๆว่าศาลสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยจะสามารถเกิดขึ้นได้หรือไม่และจะสามารถตอบโจทย์การแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยหรือไม่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี