ใครมีส่วนเกี่ยวข้องเช็คบิลทั้งหมด
ผบ.ตร.สั่งสอบด่วน
ปม‘ชูวิทย์’แฉตม.เอี่ยวทุนจีนสีเทา
‘เสี่ยอ่าง’หอบหลักฐานใหม่ยื่น‘กมธ.’
ลากไส้หัวโจก-แนวร่วมมาเฟียต่างชาติ
‘บิ๊กโจ๊ก’ลั่นหากเพื่อนทำผิดไม่เอาไว้แน่
ผบ.ตร. มอบหมาย“จเรตำรวจ”ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี“ชูวิทย์”แฉตำรวจ ตม.ช่วยเหลือทุนจีนสีเทา หากพบดำเนินการเด็ดขาด ย้ำองค์กรต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ “อดีตนักการเมืองชื่อดัง” นำรายชื่อขบวนการธุรกิจทุนจีนสีเทามอบให้ “ปธ.กมธ.ป.ป.ช.” แย้มมีข้อมูลใหม่ ขออย่าโยงประเด็นการเมือง
สงสัยเกี่ยวข้องยาเพสติด แล้วยึดไว้ตรวจสอบเส้นทางการเงินด้วยหรือไม่ ขณะที่ ผบ.สตม.ยืนยัน ตามขั้นตอนของกฎหมายทุกอย่าง
เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยถึงกรณี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและนักธุรกิจชื่อดัง แถลงข่าวปฏิบัติการทลายภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำ ระบุว่า ตำรวจสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) คอยอำนวยความสะดวกให้กลุ่มทุนจีนสีเทา พร้อมเปิดหลักฐานการจัดตั้งมูลนิธิรับจดทะเบียนให้คนจีนพักอาศัยในไทยโดยผิดกฎหมายว่า ได้รับทราบข้อมูลแล้ว ไม่ได้นิ่งนอนใจ มอบหมายให้ พล.ต.ท.จีระ จิรวีระ รองจเรตำรวจแห่งชาติ (รอง จตช.) เป็นประธานตรวจสอบข้อเท็จจริง และรายงานผลให้ทราบโดยเร็ว หากพบว่ามีการกระทำความผิดให้ดำเนินการตามกฎหมาย โดยสั่งการเน้นย้ำนโยบาย ตำรวจต้องไม่ปล่อยปละละเลย ไม่มีการช่วยเหลือ ว่ากันตามพยานหลักฐานข้อเท็จจริง ยืนยันว่าองค์กรต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ ไม่เพียงเฉพาะกรณีของ เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ทุกข้อมูลทุกข้อร้องเรียน ต้องมีการตรวจสอบดำเนินการ ขอบคุณทุกข้อมูลของพี่น้องประชาชนในการช่วยตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ผบช.สตม.ยันทำตามกฎหมายทุกอย่าง
พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. กล่าวถึงกรณีนายชูวิทย์ แถลงว่ามีตำรวจตรวจคนเข้าเมือง คอยอำนวยความสะดวกให้กลุ่มทุนจีนสีเทา ว่า ผบ.ตร. ตระหนักดีจึงอยู่ระหว่างสั่งให้จเรตำรวจลงไปตรวจสอบเพราะเป็นหน่วยงานกลางในการตรวจสอบของ ตร. ส่วนระยะเวลาในการตรวจสอบจะต้องมีการลงไปตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน ซึ่งต้องแยกประเด็นกันคือกรณีที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ไปตรวจจับผับก็เป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งอยู่ในการดูแลเรื่องการสืบสวนของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ที่มีการเรียก 26 ด่าน ตม.จังหวัดเข้ามาให้ข้อมูล แม้เป็นกรณีต่อเนื่องกันแต่เป็นคนละส่วน ส่วนกรณีที่นายชูวิทย์ แถลงไปเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. เป็นกรณีของการเปลี่ยนแปลงประเภทการตรวจลงตราหรือวีซ่าที่เกิดในพื้นที่หนึ่ง
แจงขั้นตอนการพิจารณาให้เข้าประเทศ
พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ กล่าวว่า ขอชี้แจงในเรื่องของการอยู่ต่อเป็นบริบทส่วนหนึ่งในเรื่องการอำนวยความสะดวกให้กับคนต่างด้าวที่มีความประสงค์ที่จะอยู่ในประเทศไทย ซึ่งมีหลักเกณฑ์อย่างเช่นกรณีที่พูดถึง ไทยแลนด์ อีลิท (Thailand Elite) คือ วีซ่าประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็นพิเศษ มีมานานแล้ว บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นผู้ออกบัตร กรณีคนต่างด้าวได้รับบัตรนี้มา ทาง สตม.มีหน้าที่ตรวจสอบว่าเป็นคนที่ได้รับบัตรมาถูกต้องหรือไม่ และเป็นบุคคลต้องห้ามหรือไม่ ถ้าได้รับบัตรมาอย่างถูกต้อง สตม.ต้องให้เขาอยู่ต่อ ฉะนั้นการพิจารณาการเดินทางเข้ามาของคนต่างด้าว ที่เข้ามาในราชอาณาจักรทาง ตม.จะพิจารณา 2 อย่าง คือ 1.คุณสมบัติครบหรือไม่เป็นตัวตนคนเดียวกันตามพาสปอร์ตหรือไม่ ลายนิ้วมือไม่มีการปลอมแปลง 2.เป็นบุคคลต้องห้ามหรือไม่ ถ้า 2 กรณีนี้ครบทาง สตม.ต้องอนุญาตให้เขาเข้าประเทศ
เตรียมตั้งคณะทำงานทบทวนขออยู่ต่อ
ผบช.สตม.กล่าวว่า การเปลี่ยนประเภทการตรวจลงตราการอนุญาตให้อยู่ต่อในราชอาณาจักร สตม.เข้มงวดมาตลอด 1 ปี เพราะรู้ว่าเป็นความอ่อนไหวที่คนต่างด้าวอาจจะอาศัยหลักเกณฑ์หรือกรณีเจ้าหน้าที่ ตม.ตรวจเอกสารไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ขณะนี้จะตั้งคณะทำงานในการทบทวนหลักเกณฑ์การขออยู่ต่อในราชอาณาจักรในแต่ละเหตุผล ทั้งเรื่อง มูลนิธิ การรักษาพยาบาล การศึกษาของสถานศึกษาเอกชนทั้งในระบบและนอกระบบ
‘บิ๊กโจ๊ก’ชี้มีข้อมูลผู้เกี่ยวข้องครบถ้วน
ทางด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.เปิดเผยความคืบหน้าคดีนายทุนจีนสีเทาว่า ได้เรียกอดีตนายตำรวจระดับสารวัตร ซึ่งเป็นพี่ชายภรรยานายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือตู้ห่าว มาให้ปากคำในกรณีที่มีรายชื่อเป็นกรรมการบริษัท 3-4 แห่ง ที่มีนายตู้ห่าว เป็นกรรมการร่วม ส่วน น.ส.สุชาดา ถึงแม้ไม่ได้มีรายชื่อเป็นกรรมการแต่มีหน้าที่เบิกจ่ายเงินลักษณะเดียวกันกับ น.ส.พัชรินทร์ จึงต้องเรียกมาชี้แจงให้ครบถ้วน ตำรวจมีข้อมูลครบถ้วนโดยเฉพาะเส้นทางการเงิน ถึงแม้ว่าทั้ง 4 คน จะยังไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวหาแต่ยืนยันว่าตำรวจมีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบเส้นทางการเงินแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
ยันไม่ละเว้นใครหากพบการกระทำผิด
ส่วนกรณีที่พบว่ามีคนกลางเป็นข้าราชการตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการแปลงวีซ่า ขณะนี้ได้ออกหมายเรียกหัวหน้าสถานีตำรวจตรวจคนเข้าเมืองทั้ง 27 แห่งนำเอกสารมาให้และสอบปากคำแต่พบว่ามีบางนายยังไม่นำเอกสารมาให้ วันที่ 9 ธ.ค. สั่งให้นำเอกสารมาให้พร้อมสอบปากคำเพิ่มเติมอีกครั้ง ยืนยันว่ามีข้อมูลเอกสารทั้งหมดครบแล้ว รวมทั้ง 3 นายพลตำรวจที่ถูกพาดพิงว่ามีส่วนอำนวยความสะดวกในการแปลงวีซ่าให้กลุ่มชาวจีน ยืนยันว่าจะดำเนินการตามขั้นตอน แม้จะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่น 47 ก็ตามโดยไม่ละเว้นหากพบผิดจะดำเนินการถึงที่สุด แต่ทราบว่าบางนายเกษียณอายุราชการไปแล้วก็จะออกหมายเรียกมาให้ข้อมูลในฐานะพยานเหมือนหัวหน้าสถานี ตม.ทุกนายที่เรียกมาก่อนหน้านี้
“ชูวิทย์”มอบข้อมูลทุนจีนให้ กมธ.ปปช.
วันเดียวกัน นายชูวิทย์ ได้เข้าพบ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธานกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร อีกครั้ง หลังยื่นหนังสือเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยนายชูวิทย์ เปิดเผยว่า วันนี้นำข้อมูลสำคัญเพิ่มเติมมามอบให้ กมธ. เพราะธุรกิจทุนจีนนี้ทำเป็นกระบวนการ จึงมายื่นชื่อตัวบงการและผู้สนับสนุน ซึ่งมีข้อมูลใหม่ด้วย รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง( ตม.) เพื่อให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรียกมาสอบสวนเพิ่มเติม กระบวนการนี้ หากไม่มีผู้สนับสนุน คงทำไม่ได้
ชี้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่รัฐต้องจัดการ
ส่วนจะเกี่ยวข้องถึงระดับคนในพรรคการเมืองหรือไม่ เพราะเป็นขบวนการใหญ่ในการเปลี่ยนวีซ่าของกลุ่มนายทุนจีนสีเทา นายชูวิทย์ กล่าวว่า ตนเป็นนักการเมืองเก่า แต่ไม่อยากพูดเรื่องการเมือง เนื่องจากมีคนพยายามโยงให้เกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งการที่พรรคพลังประชารัฐรับเงินบริจาค 3 ล้านบาท รับรู้หรือไม่ว่านายตู้ห่าวประกอบอาชีพอะไร เกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือไม่ หากเกี่ยวข้องยาเสพติด ต้องยึดไว้ตรวจสอบหรือไม่ และต้องยึดเงินคืนหรือไม่ เพราะมีมูลฐานมาจากยาเสพติด ถ้าเงินไปอยู่ที่ไหน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ต้องเข้าไปตรวจสอบ จึงเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องจัดการ
ขออย่าโยงประเด็นการเมือง
“มีข้อสังเกตว่ามีการเมืองมาเกี่ยวข้อง ทำให้ไม่มีความคืบหน้า ขอยืนยันว่า ผมไม่ขอยุ่งเกี่ยว ที่มีคนพยายามโยงไปเรื่องเงินบริจาค รวมถึงการซื้อหมู่บ้านของบริษัทเอสซี แอสเสท นั้น ผมมองว่าเมืองไทยอย่ายุ่งการเมืองมากเกินไป ถ้านำมาแสวงหาผลประโยชน์ การหาเสียงและทำลายคู่แข่งทางการเมือง ก็ไม่ใช่หน้าที่ของผู้แทนประชาชน ดังนั้น ส.ส.ควรดูแลปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน แต่ผมไม่เคยเห็นส.ส.คนไหนพูดถึงเรื่องที่ผมกำลังต่อสู้อยู่ ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของผม ผมเป็นเพียงพลเมืองดี กลับมีพลเมืองร้ายคอยใส่ร้ายผมมาตลอด จึงไม่อยากใช้เรื่องนี้ไปป้ายสีใคร เพราะเรื่องป้ายสี หากทำกับใคร ผมทำได้เก่ง มีข้อมูลเยอะ ถ้าไม่มีข้อมูล จะไม่พูด และวันนี้มาพบ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ที่จัดการสำเร็จมาหลายคดี จึงมีข้อมูลเบื้องลึกมาให้” นาย ชูวิทย์ กล่าว
พร้อมเปิดเผยว่าใครอยู่เบื้องหลังบ้าง
นายชูวิทย์ กล่าวว่า ใครที่พยายามพูดให้ตนออกมาตอบโต้ ตนไม่พูด ขอมุ่งเน้นไปที่ประเด็นธุรกิจสีเทา มาเฟีย และเจ้าหน้าที่ที่รับผลประโยชน์ ต้องล้มกระดานให้ได้ หากล้มกระดานไม่ได้ ประเทศไทยก็ไม่ต่างกับกัมพูชา วันนี้จะเปิดเผยในชั้น กมธ.ทั้งหมดว่าใครอยู่ในกระบวนการนี้บ้าง เพราะเชื่อว่ามีผู้ร่วมขบวนการ ไม่มีทางที่เวลา 10 กว่าปี นายตู้ห่าวจะมีเงินมหาศาล หากทำมาหากินสุจริต ต้องเสียภาษี ดูเส้นทางการเงินได้ แต่เกิดจากจุดเล็ก ๆ คือ จินหลิง ที่เป็นมะเร็งลุกลามไปทั่ว
นายชูวิทย์ กล่าวถึงกรณีนายสันธนะ ประยูรรัตน์ เตรียมฟ้องดำเนินคดีและให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของตนว่า นายสันธนะเป็นตำรวจที่ถูกให้ออกจากราชการ ลืมตรวจสอบตัวเองว่าทำงานอะไร เสียภาษีหรือไม่ สื่อต้องแยกแยะว่าใครมีข้อมูล ใครที่พูดความจริงที่เป็นประโยชน์กับสังคม ไม่เช่นนั้นนายสันธนะกลายเป็นตัวอันตราย เมื่อตัวเองมีราคาต่อหน้าสื่อ
หยัน“สันธนะ”เป็นมวยคนละชั้น
“ถ้าคิดจะสู้คนอย่างผม จะรอดหรือเปล่า จะสู้ผมด้วยอะไร เพราะนายสันธนะไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง ผมและนายสันธนะเรียกว่ามวยคนละชั้น เพราะผมทำมาหมดแล้ว แต่นายสันธนะโดนไล่ออกจากราชการ ยืนยันว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นความจริงทุกประการ” นายชูวิทย์ กล่าว
นายชูวิทย์ ยังกล่าวถึงจิ๊กซอว์สำคัญที่ต้องตามต่อ ว่า ภายในสิ้นปีนี้ จะเปิดกระบวนการที่ชื่อว่า “อุ้มท้องซื้อพ่อ” ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำลายความมั่นคงของชาติในระยะยาว และกระบวนการดังกล่าวเริ่มต้นแล้วที่จ.เชียงรายและจ.เชียงใหม่ ซึ่งมีหน่วยงานรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องแน่นอน แต่จะเป็นความละเลยหรือเต็มใจรับผลประโยชน์ นี่คือจิ๊กซอว์สำคัญที่ต้องหาคำตอบ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี