27 ธันวาคม 2565 เมื่อวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา ชุดสายสืบสถานีตำรวจภูธรอินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ได้สืบทราบว่ามีพ่อค้ายาบ้าได้นำยาบ้ามาจำหน่ายและได้มาแวะพักที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งใน อำเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี จึงประสานชุดสืบสวนสถานีตำรวจภูธรบางระจัน นำกำลังเข้าตรวจค้นที่ห้องพัก นายเบียร์ (นามสมมติ) ซึ่งทันทีที่นายเบียร์เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รีบกลืนยาบ้าจำนวน 10 เม็ด ลงคอทันที
หลังจากตรวจค้นห้องพักไม่พบยาเสพติด สอบสวนนายเบียร์ ได้สารภาพว่า ได้กลืนยาบ้าไป 10 เม็ด และเมื่อตอนเวลา 14.00 น. ได้นำยาบ้าจำนวน 1 ถุง มีทั้งหมด 200 เม็ด ไปส่งขายให้กับพระซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่ง ที่แถวอำเภอค่ายบางระจัน โดยพระได้ขับรถยนต์ส่วนตัวมา เมื่อส่งยาให้ได้รับเงินมาจำนวน 2,000 บาท ก็แยกย้ายกันกลับ จนกระทั่ง นายเบียร์ ได้โดนเจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับ
จากนั้นเวลา 16.00 น. ชุดสืบสวนสถานีตำรวจภูธรบางระจัน จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไปที่วัด ในพื้นที่หมู่ 3 ตำบลสระแจง อำเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี และได้ไปขอพบพระอธิการศิรวัฒน์ สิริวฑุฒโน อายุ 44 ปี เจ้าอาวาสวัด โดยแจ้งว่า มีพ่อค้ายาบ้ารับสารภาพว่าได้ขายยาให้กับ พระศิรวัฒน์ มีหลักฐานทั้งการคุยซื้อขายกันในแชทในแอปพลิเคชั่นไลน์และเบอร์โทรที่คุยกัน
เบื้องต้นพระศิรวัฒน์ ปฏิเสธไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ตรวจปัสสาวะ ไม่ยอมให้ค้นกุฏิ ถ่วงเวลาโดยบอกว่าปัสสาวะไม่ออก และรอโยมพ่อกับแม่และญาติพี่น้องมา และได้ล็อคกุฏิไว้ไม่ให้ใครเข้า ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะอธิบายในเรื่องข้อกฎหมายที่สามารถจะตรวจค้นก็ตาม พระศิรวัฒน์ ก็ไม่ยอมให้ค้นและทวงถามหมายศาล
จนมีชาวบ้านหลายคนมารวมตัวที่วัดร่วม 50 คน ต่างตะโกนให้ พระศิรวัฒน์ ไปตรวจปัสสาวะเสียที ทั้งนี้ชาวบ้านบอกว่าสงสัยมาเกือบ 2 ปีแล้วว่า พระศิรวัฒน์ ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดแต่ไม่มีหลักฐาน และพระครูสุนทร โกศล เจ้าคณะตำบล สระแจง บ้านจ่า ได้เดินทางมาที่วัด ท่านได้กล่าวว่า ปกติเห็นว่า พระศิรวัฒน์ เป็นคนเรียบร้อย ดูเงียบๆ เฉยๆ พูดตลกๆ บางครั้ง เพิ่งจะรู้ว่ามีเหตุการณ์ว่า พระศิรวัฒน์ เกี่ยวข้องกับยาเสพติด
เหตุการณ์ยืดเยื้อจนถึงเวลา 19.48 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตัดสินใจพาตัว พระศิรวัฒน์ ขึ้นรถสายตรวจของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อนำตัวไปตรวจปัสสาวะที่สถานีตำรวจภูธรบางระจัน แต่ตัว พระศิรวัฒน์ ยังขัดขืนไม่ยอมขึ้นรถ จนกระทั่งเวลา 19.52 จึงสามารถนำตัว พระศิรวัฒน์ ขึ้นรถไปได้ หลังจากนั้นเมื่อไปถึงที่สถานีตำรวจภูธรบางระจันแล้ว นำไปตรวจปัสสาวะ เบื้องต้นพบปัสสาวะมีสีม่วงเข้ม แต่พระศิรวัฒน์ ยังไม่ยอมรับ บอกว่าถึงปัสสาวะจะมีสีม่วงแต่ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นสารเสพติดหรือไม่ สร้างความปวดหัวให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอย่างมาก จึงต้องนำตัว พระศิรวัฒน์ ไปตรวจปัสสาวะที่โรงพยาบาลเพื่อแยกสารเสพติดในปัสสาวะ ซึ่งก็พบ จึงพาตัวมาค้นยาบ้าที่กุฏิ
โดยทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 3 ท่าน พระศิรวัฒน์ และโยมแม่ของพระได้นำเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปและไม่ยอมให้ผู้สื่อข่าวหรือชาวบ้านเข้าไปดูเหตุการณ์ โดยก่อนเข้าห้องได้หันมาต่อว่าผู้สื่อข่าวว่า “คุณจะทำให้เสียชื่อเสียงวัดทำไมล่ะคะ” ผู้สื่อข่าวจึงตอบไปว่า “ใครทำให้วัดเสียชื่อเสียงกันแน่” และพากันขึ้นไปค้นหาหลักฐานในกุฏิและล็อคห้องทันที แต่ห้องเป็นกระจกยังพอสามารถมองเห็นได้ และไม่นานโยมแม่ของพระก็ได้มาปิดผ้าม่านภายในห้องสร้างความกังขาให้กับชาวบ้านยิ่งนัก จนสักพัก พ.ต.ท.นรินทร์ ไรไสว สารวัตรสืบสวน สภ.บางระจัน ได้เปิดประตูออกมาชี้แจงว่า ให้ชาวบ้านใจเย็นๆ ตอนนี้เจอของแล้ว และเป็นขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ในการตรวจ และได้ถ่ายวิดิโอไว้อยู่ ถ้าสงสัยให้ตามไปดูของกลางที่โรงพักได้ไหม ชาวบ้านต่างตะโกนว่า ขอให้กำนันและผู้ใหญ่บ้านเข้าไปดูร่วมด้วย ชาวบ้านจึงพากันสงบลง
จนกระทั่งเวลา 22.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัว พระศิรวัฒน์ และหลักฐานทั้งหมด มียาบ้า 198 เม็ด ปืนไฟแช็ค 2 กระบอก และอุปกรณ์ในการเสพยาที่ใส่ไว้ในกระติกน้ำ ขึ้นรถและนำ พระศิรวัฒน์ ไปสึกและนำมาสอบสวนที่สถานีตำรวจภูธรบางระจัน โดย พระศิรวัฒน์ ยอมรับสารภาพว่า ได้ซื้อยาบ้าจากพ่อค้ายามาเสพอย่างเดียว ไม่ได้นำไปขายให้ใคร ที่ซื้อมาเยอะเพราะจะได้ไม่ต้องซื้อบ่อย หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะได้สอบสวนเพิ่มเติมและดำเนินคดีต่อไป.012
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี