ณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว
“ข้าว” อาหารหลักของคนไทยและเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศไทย ตามรายงานจากฐานข้อมูลเกษตรกลาง (farmer ONE) โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สืบค้นเมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2566) พบว่า มีจำนวนครัวเรือน 4,176,059 ครัวเรือน ปลูกข้าวนาปี คิดเป็นเนื้อที่เพาะปลูก 53,119,681 ไร่ ขณะที่จำนวนครัวเรือน 396,292 ครัวเรือน ปลูกข้าวนาปรัง คิดเป็นเนื้อที่เพาะปลูก 6,682,624 ไร่ อย่างไรก็ตาม ระยะหลังๆ เริ่มมีข่าวหลายชาติสามารถส่งออกข้าวได้ดีกว่า กลายเป็นความคาดหวังในการปรับปรุงทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณ เพื่อให้ไทยแข่งขันได้ดีขึ้น
“เมล็ดพันธุ์เราไม่มีปัญหา แต่มีปัญหาเรื่องของการปฏิบัติของพี่น้องชาวนา งานวิจัยของเราเป็นประโยชน์และผลผลิตเราก็ทำต่อเนื่อง เมล็ดพันธุ์ข้าวเราก็จะออกมาเรื่อยๆ ทยอยออกมา 2-3-4-5 พันธุ์ มันไม่ได้มีปัญหาของสายพันธุ์เรา แต่มีปัญหาภาคปฏิบัติที่เกษตรกรในการใช้เมล็ดพันธุ์ที่ดี 1.ที่ปัญหามากที่สุดคือการกระจายเมล็ดพันธุ์ดีไปสู่พี่น้องเกษตรกร มันค่อนข้างจะลำบาก เราก็เห็นช่องทางว่าตรงนี้มันมีปัญหาแล้ว เราก็จะต้องแก้ไขเรื่องนี้ ถ้าเราแก้ไขเรื่องการเข้าถึงเมล็ดพันธุ์สายพันธุ์ที่ดีของพี่น้องเกษตรกรได้สำเร็จ เราก็จะง่ายต่อการปฏิบัติในหลายเรื่อง”
ณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึง “จุดอ่อน” สำคัญอย่างหนึ่งของชาวนาไทย นั่นคือ “การเข้าถึงเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพ” เพราะแม้กรมการข้าวจะมีงานวิจัยและพัฒนาเมล็ดพันธุ์ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็มีข้อจำกัดเรื่องการกระจายเมล็ดพันธุ์ไปให้ถึงมือเกษตรกร “ซึ่งตามหลักวิชาการที่ถูกต้องแล้ว..เกษตรกรควรเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ทุกๆ 3 ปี” เพราะเมื่อเกินจากนั้นเมล็ดพันธุ์ก็จะมีคุณภาพด้อยลง โดยความต้องการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวทั่วประเทศอยู่ที่ประมาณ 7-7.5 แสนตัน
จึงเป็นที่มาของการก่อตั้ง “ศูนย์ข้าวชุมชน” ขึ้นในระดับตำบล เพื่อเป็นแหล่งกระจายเมล็ดข้าวจากกรมการข้าว ศูนย์นี้จะทำหน้าที่คัดเลือกกันภายในว่าชุมชนไหนสมควรแลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ หรือชุมชนไหนสมควรเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้ในปีถัดไป โดยการใช้กลไกศูนย์ข้าวชุมชนจะทำให้จัดลำดับความสำคัญได้ดีกว่าการให้เกษตรกรมาขอกันเองโดยตรง ซึ่งแต่ละชุมชนต้องไปบริหารจัดการกันเอง ว่าชุมชนใดควรเปลี่ยนแปลง และหากจำเป็นต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ก็จะได้นำเมล็ดพันธุ์ที่ราคาไม่แพงไปจำหน่ายช่วยเหลือเกษตรกร
“ทั้งเอกชน ทั้งสหกรณ์ ปีหนึ่งเขาจะผลิตเมล็ดข้าวประมาณ 5 แสนตันที่เหลือก็จะเป็นศูนย์ข้าวชุมชนทั่วประเทศอีกประมาณ 2 แสนตันที่ได้รับการสนับสนุนจากกรมเราไป แต่เกษตรกรก็ยังต้องซื้ออยู่ดีไม่ได้ให้ ก็ต้องลงทุนอยู่เหมือนกันแต่วันนี้ผมมีโครงการ ผมก็มีนโยบายว่าถ้าเป็นไปได้ เราจะทำอย่างไรให้เมล็ดพันธุ์ข้าวเราราคาต่ำ ไม่สูงมาก ให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเมล็ดพันธุ์ที่ดีได้” ณัฏฐกิตติ์ กล่าว
ทั้งนี้ หากย้อนไปในอดีตก่อนจะมีการตั้งศูนย์ข้าวชุมชนขึ้นจะมีเพียง “ศูนย์เมล็ดพันธุ์” ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ของกรมการข้าว แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ “ต้นทุนการเดินทางของเกษตรกร” เพราะศูนย์เมล็ดพันธุ์มักจะอยู่ในตัวอำเภอบ้าง ตัวจังหวัดบ้าง ซึ่งไม่สะดวกกับเกษตรกรที่ต้องการซื้อเมล็ดพันธุ์ โดยเกษตรกรบางรายต้องเดินทางไกลเป็นร้อยกิโลเมตรเพื่อไปซื้อเมล็ดพันธุ์ในศูนย์ดังกล่าว
และเพื่อให้เมล็ดพันธุ์เข้าถึงเกษตรกรที่ต้องการได้ง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จากศูนย์ข้าวชุมชนที่ตั้งขึ้นในทุกตำบลที่มีการปลูกข้าว “กรมการข้าวจะทำงานร่วมกับสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ เพื่อขยายการกระจายเมล็ดพันธุ์ลงไปสู่ระดับหมู่บ้าน” เพราะทุกหมู่บ้านมีกลไกกองทุนหมู่บ้านอยู่แล้ว หากสามารถใช้ช่องทางนี้ได้ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าวไปให้ถึงมือเกษตรกร
“ผมไปขอความร่วมมือกับกองทุนหมู่บ้าน ฉะนั้น พี่น้องไม่ต้องมาที่ตำบลก็ได้ มาที่กองทุนหมู่บ้านก็จะมีเมล็ดพันธุ์จำหน่ายให้เกษตรกร ฉะนั้นการเข้าถึงเมล็ดพันธุ์มันจะง่ายขึ้น เร็วขึ้น แล้วก็เป็นประโยชน์กับผู้ส่งออก ผู้ส่งออกไม่ต้องไปคิดอะไรมาก วันนี้ข้าวก็จะมีความบริสุทธิ์ แล้วเราก็สามารถแยกโซนได้ว่าตำบลนี้-หมู่บ้านนี้ เป็นข้าวชนิดนี้อย่างเดียวนะ เราก็จะสามารถแบ่งโซนไปได้ในตัว
อย่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะเอาพันธุ์ข้าวไวต่อช่วงแสงไปปลูกนี่ไมได้แล้ว จะเอาข้าว กข85 จะเอา 95 ไปปลูก แล้วอีกทีหนึ่งเก็บผลผลิตเสร็จก็หันมาปลูกข้าวหอมมะลิหรือข้าวเหนียว กข ต่างๆ มันก็ปลอมปน ฉะนั้น เราต้องแยกโซนให้ได้ แต่ถ้าของโคราช พื้นที่แถวปักธงชัยเขาจะทำนาปรังน้ำเขาดี เขาไม่ได้ปลูกข้าวหอมมะลิอันนี้เราก็ไม่ว่ากัน แต่บางพื้นที่โดยทั่วไป พอมีน้ำก็อยากจะปลูกข้าวนาปรัง เสร็จแล้วก็ปลูกข้าวหอมมะลิ การปลอมปนมันก็สูง” อธิบดีกรมการข้าว ระบุ
ประการต่อมา “กรมการข้าวได้รับมอบหมายจาก กระทรวงพาณิชย์ ให้เป็นหน่วยงานตรวจสอบพันธุกรรม (DNA) สำหรับข้าวเพื่อการส่งออก” ในอดีตประเทศไทยมีศูนย์ตรวจสอบแห่งเดียวอยู่ที่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม) ซึ่งผู้ที่ประสงค์จะส่งออกข้าวจากไทยไปขายยังต่างประเทศต้องนำข้าวไปตรวจสอบก่อน การที่กรมการข้าวได้รับภารกิจนี้มาก็จะช่วยสนับสนุนให้เกิดการส่งออกข้าวได้มากขึ้น และเมื่อผู้ส่งออกสามารถส่งออกข้าวได้ง่ายขึ้นเกษตรกรก็พลอยได้รับประโยชน์ไปด้วย
ณัฏฐกิตติ์ ยกตัวอย่าง “ศูนย์วิจัยข้าวอุบลราชธานี จ.อุบลราชธานี” ซึ่งตนเพิ่งเดินทางไปเปิด “หน่วยปฏิบัติการตรวจสอบเอกลักษณ์พันธุกรรมข้าวหอมมะลิไทย” เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2566 ที่ผ่านมา ว่า ที่นี่คือห้องปฏิบัติการ (Lab) แห่งแรกของกรมการข้าวที่ได้รับการรับรอง แต่ในอนาคตจะขยายไปยัง สถาบันวิทยาศาสตร์ข้าวแห่งชาติ จ.สุพรรณบุรี เพิ่มขึ้นอีกแห่งหนึ่งด้วย
อนึ่ง ในปี 2565 ที่ผ่านมา กรมการข้าว เปิดตัวเมล็ดพันธุ์ 4 สายพันธุ์ ได้แก่ กข93 (พุ่มพวงเมืองสองแคว), กข95 (ดกเจ้าพระยา), กช97 (หอมรังสิต) และ กข101(ทุ่งหลวงรังสิต) ซึ่ง อธิบดีกรมการข้าว เปิดเผยความคืบหน้าเพิ่มเติมว่า เกษตรกรมีความต้องการข้าวพันธุ์ กข95 สูงมาก ซึ่งคาดว่าจะสามารถส่งเมล็ดพันธุ์ถึงมือเกษตรกรได้อย่างเต็มที่หลังจากเดือนเม.ย. 2566 เป็นต้นไป เนื่องจากที่ผ่านมา กรมการข้าวสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ในชั้นเมล็ดพันธุ์ขยายได้ราว 4-5 พันตัน แต่ยังไม่นำออกจำหน่ายในทันทีเพราะต้องการให้นำไปขยายเพื่อให้ได้จำนวนเพิ่มขึ้น
ซึ่งคาดว่าจะได้เมล็ดพันธุ์ถึง 1 หมื่นตัน เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงได้มากขึ้น โดยข้าวพันธุ์ กข95 นั้นให้ผลผลิตต่อไร่ค่อนข้างสูงและใช้เวลาปลูกไม่นานเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่นๆ ก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม สำหรับข้าวที่อายุการเก็บเกี่ยวเร็วนั้นก็ต้องอาศัยการดูแลรักษาอย่างมีวินัยพอสมควร เพราะการตอบสนองของข้าวต่อปุ๋ยจะค่อนข้างเร็วใช้ระยะเวลาค่อนข้างจำกัด ดังนั้นการเตรียมพื้นที่ปลูกจึงต้องทำให้ดี หากปล่อยปละละเลยผลผลิตที่ได้ก็จะต่ำลง
อธิบดีกรมการข้าว ยังกล่าวอีกว่า ในส่วนของการวิจัยพันธุ์ข้าว เพิ่งได้งบประมาณจากรัฐบาลมา 1,256 ล้านบาท เพื่อให้ปรับปรุงศูนย์วิจัยซึ่งขาดการปรับปรุงมานานถึง 40 ปี เครื่องมือที่มีอยู่เป็นของเก่าสมัยที่โอนย้ายมาจากกรมวิชาการเกษตร หากแล้วเสร็จการวิจัยพันธุ์ข้าว ซึ่งถือเป็น “ต้นน้ำ” ก็จะทำได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการผลิตเมล็ดข้าว ซึ่งเป็น “กลางน้ำ” ที่ก็เพิ่งได้รับงบประมาณมาเมื่อปี 2565 จากเงินกู้ฟื้นฟูเศรษฐกิจช่วงโควิด และ “ปลายน้ำ” คือศูนย์ข้าวชุมชนทั่วประเทศจำนวน ราว 6,500 แห่ง ตลอดจนชาวนาอาสา
โดย “ชาวนาอาสา” นั้นหมายถึงอาสาสมัครภาคประชาชนเช่นเดียวกับ หมอดินอาสา (เกษตรกรที่สนใจการพัฒนาที่ดิน จึงเข้าร่วมกับกรมพัฒนาที่ดิน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรด้วยกัน) หรืออาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.-บุคคลที่ได้รับการยอมรับจากคนในชุมชน และได้รับการอบรมจากกระทรวงสาธารณสุข จนสามารถทำงานส่งเสริมสุขภาพคนในชุมชนได้) เป็นต้น ซึ่ง ชาวนาอาสา คือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่มีจิตอาสาต้องการช่วยเหลือเพื่อนร่วมอาชีพ เช่น การรวบรวมข้อมูล การถ่ายทอดข้อมูล เป็นต้น
ที่ผ่านมา ชาวนาอาสา กำหนดให้มีได้เพียงหมู่บ้านละ 1 คน แต่ในความเป็นจริงจำนวนพื้นที่นาในแต่ละหมู่บ้านไม่เท่ากัน บางหมู่บ้านมีที่นา 500 ไร่ แต่บางหมู่บ้านก็มีมากกว่า 5,000 ไร่ จึงปรับแก้แนวปฏิบัติโดยหากเป็นหมู่บ้านที่มีที่นามากกว่า 5,000 ไร่ ให้มีชาวนาอาสาได้ 3 คน หรือต่ำกว่า 5,000 ไร่มีได้ 2 คน โดยคาดว่า ณ สิ้นเดือน ก.พ. 2566 น่าจะมีชาวนาอาสาทั่วประเทศราว 1.5-1.8 แสนคน ทำหน้าที่ประสานระหว่างเกษตรกรและกรมการข้าว สื่อสารความรู้ด้านการใช้เมล็ดพันธุ์ที่ดีและการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนการผลิตก็จะขับเคลื่อนได้เร็วขึ้น
“ท่านคิดดูว่า องคาพยพครั้งนี้มันจะประสบผลสำเร็จและมันสามารถชี้นำอะไรได้ เราไม่จำเป็นต้องใช้บุคลากรอะไรมากมาย เราใช้เฉพาะไอทีเข้ามาช่วย แล้วก็อาสาข้าวที่อยู่ในพื้นที่เราอย่าลืมว่าชุมชนต้องแก้ปัญหาชุมชนด้วยชุมชนของเขาเอง รัฐบาลเพียงแต่เป็นพี่เลี้ยงคอยประคองสนับสนุนเขาแค่นั้น เขาจะรู้ปัญหาดีกว่าเรา” อธิบดีกรมการข้าว กล่าวในตอนท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี