กทม.เข้มมาตรการเชิงรุกป้องกันโรคไข้เลือดออก Big Cleaning ในชุมชนพื้นที่เสี่ยงทุกสัปดาห์ สนอ.เผย 3 แขวงเขตธนบุรี-บางบอน-บางรัก พบป่วยสูงสุด
นายสุนทร สุนทรชาติ ผู้อำนวยการสำนักอนามัย กล่าวถึงกรณีกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เตือนสถานการณ์โรคไข้เลือดออก มีผู้ป่วยเพิ่มมากกว่าปีก่อน 6.6 เท่า โดยพื้นที่กรุงเทพฯ มีอัตราผู้ป่วยสูงสุดว่า กรุงเทพมหานคร โดยสำนักอนามัย (สนอ.) ได้ดำเนินมาตรการเชิงรุกป้องกันโรคไข้เลือดออก โดยประสานสำนักงานเขตและศูนย์บริการสาธารณสุข กทม.ร่วมจัดกิจกรรมจัดการสิ่งแวดล้อม Big Cleaning ในชุมชน หรือพื้นที่เสี่ยงทุกสัปดาห์อย่างต่อเนื่องทั้ง 50 เขต เน้นกิจกรรมการทำความสะอาด ทิ้งขยะ สำรวจดัชนีลูกน้ำยุงลายและทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายทุกสัปดาห์อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันได้ประชาสัมพันธ์ให้รับทราบการป้องกันตนเองและอาการสงสัยโรคไข้เลือดออกแก่ประชาชนในพื้นที่ผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ทั้งแผ่นพับ โปสเตอร์ และสื่อออนไลน์ เพื่อเน้นย้ำนโยบายป้องกันก่อนเกิดโรคคือ “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” ประกอบด้วย เก็บบ้าน ให้ปลอดโปร่ง เก็บขยะเศษภาชนะไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ และเก็บแหล่งน้ำ ปิดให้มิดชิด เปลี่ยนถ่ายน้ำทุกสัปดาห์ไม่ให้ยุงลายวางไข่ ภาชนะขังน้ำ
ขนาดเล็กหมั่นเปลี่ยนน้ำทุก 7 วัน เช่น แจกันดอกไม้สด แจกันหิ้งบูชาพระ แจกันที่ศาลพระภูมิ จะสามารถป้องกันได้ 3 โรคคือ โรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย และ มาตรการ “5ป” เพื่อป้องกันและทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ประกอบด้วย ป1 - ปิด ภาชนะเก็บกักน้ำให้มิดชิด ป้องกันการวางไข่ของยุงลาย ป2 - เปลี่ยนน้ำในภาชนะต่างๆ อยู่เสมอ เพื่อไม่ให้มีแหล่งน้ำที่ยุงสามารถไปเพาะพันธุ์ได้ป3 - ปล่อยปลากินลูกน้ำในภาชนะใส่น้ำถาวรเช่น อ่างบัว ป4 - ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมรอบข้างให้ปลอดโปร่ง ลมพัดผ่านได้ และ ป5 - ปฏิบัติตามทั้ง 4 ป ข้างต้นเป็นประจำ
นอกจากนี้ สนอ.ยังได้แจ้งสถานการณ์โรคไข้เลือดออกผ่านช่องทางประชาสัมพันธ์สัปดาห์ละ1 ครั้ง เพื่อให้สำนักงานเขตที่พบผู้ป่วยเข้าควบคุมโรคขณะเดียวกันได้เตรียมความพร้อมรับมือการแพร่ระบาดและการรองรับผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก โดยจัดอบรมพัฒนาความรู้บุคลากร รวมถึงซักซ้อมแผนการดำเนินการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออก เพื่อให้บุคลากรมีความรู้สามารถตอบโต้ภาวะฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที พร้อมทั้งทบทวนแนวทางการรักษาเมื่อพบผู้ป่วยสงสัยติดเชื้อไข้เลือดออก เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยโรคและให้การรักษาได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ หากประชาชนมีอาการไข้สูงเฉียบพลันนานเกินกว่า 2 วันร่วมด้วยอาการอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย เบื่ออาหาร หน้าแดงควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม ไม่ควรซื้อยากินเอง
สำหรับข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์โรคไข้เลือดออกในปี 2566 วันที่ 1 ม.ค.- 1 มี.ค. พบผู้ป่วยจำนวน 6,156 ราย เสียชีวิต 4 ราย กลุ่มอายุที่อัตราป่วยพบมากที่สุดคือ 5-14 ปี พื้นที่ที่พบอัตราป่วยสูงสุด คือ กรุงเทพฯ รองลงมาภาคใต้, ภาคกลาง, ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อเทียบกับปี 2565 ในเดือนมกราคม มีผู้ป่วยมากกว่า 6.6 เท่า
ขณะที่ ข้อมูลล่าสุดจากกองควบคุมโรคติดต่อ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร รายงานสถานการณ์โรคไข้เลือดออก กรุงเทพมหานคร ประจำสัปดาห์ที่ 7 ปี 2566 ข้อมูลต้ังแต่วันที่ 1 มกราคม-18 กมุภาพันธ์ 2566 สํานักอนามัย ได้รับรายงานเฝ้าระวังโรคจากสถานพยาบาลภาครัฐ และเอกชนในพื้นที่กรุงเทพฯ พบผู้ป่วยสะสมของกรุงเทพฯ 1,461 ราย ผู้เสียชีวิต 1 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งประเทศ 5,449 ราย ผู้เสียชีวิตสะสมทั้งประเทศ 2 ราย อัตราป่วยตามกลุ่มอายุที่พบสูงสุดในกรุงเทพฯ 3 ลำดับแรก คือ กลุ่มอายุ 5-14 ปี (61.53 ต่อประชากรแสนคน) กลุ่มอายุ 15-34 ปี (43.01 ต่อประชากรแสนคน) และ กลุ่มอายุ 0-4 ปี (23.24 ต่อประชากรแสนคน) แขวงที่มีอัตราป่วยสูงสุด 3 อันดับแรกในช่วง 4 สัปดาห์สุดท้าย คือ แขวงบุคคโล เขตธนบุรี, แขวงบางบอนเหนือ เขตบางบอน และแขวงบางรัก เขตบางรัก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี