"อนันต์ชัย ไชยเดช" ทนายกองทัพธรรมพา 2 โยมอุปัฏฐากวัดดังเมืองนครปฐม ร้อง ปปป.ตรวจสอบ 2 สมภารวัดญวนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบสร้างกุฏิรุกล้ำลำคลองสาธารณะ สร้างโรงครัวโดยมิได้รับอนุญาต นำเงินวัดไปซื้อที่ดินใส่ชื่อของเจ้าอาวาสและนำไปขายต่อให้บุคคลที่สาม เข้าข่ายทำผิดมาตรา 157,147
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 21 มี.ค.66 ที่ศูนย์รับแจ้งความตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน จตุจักร กทม.นายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม ได้พานายสามารถ และนายมานวรรธน์ (ขอสงวนนามสกุล) โยมอุปัฏฐากวัดธรรมปัญญาราม (บางม่วง) อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เข้าพบ พ.ต.ต.กิตติกร วงศ์สุนทรทรัพย์ สว.(สอบสวน) กก.4 บก.ปปป.ซึ่งนายสามารถ เป็นผู้บริจาคที่ดินสร้างวัดดังกล่าวเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เพื่อดำเนินคดีกับพระคณานัมธรรมเมธาจารย์ เจ้าคณะใหญ่อนัมนิกาย เจ้าอาวาสวัดสมณานัมบริหาร และองพจนกรโกศล หรือพระพิสิษฐ์ ศรีวิชา ผู้ช่วยปลัดขวาอนัมนิกาย เจ้าอาวาสวัดธรรมปัญญาราม (บางม่วง) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และ 157 ประกอบด้วย มาตรา 86
โดยนายอนันต์ชัย กล่าวว่า สืบเนื่องจากนายสามารถกับพวกได้มายื่นหนังสือต่อมูลนิธิทนายกองทัพธรรม โดยอ้างว่าเจ้าอาวาสวัดธรรมปัญญาราม สร้างกุฏิรุกล้ำลำคลองสาธารณะ อีกทั้งสร้างโรงครัวโดยไม่ได้รับอนุญาตและยังนำเงินวัดไปซื้อที่ดินใส่ชื่อของเจ้าอาวาส ก่อนนำไปขายต่อให้บุคคลที่สาม ซึ่งมูลนิธิทนายกองทัพธรรม ได้ตรวจสอบแล้วน่าจะเป็นเรื่องจริงจึงได้พานายสามารถ กับนายมานวรรธน์ มาแจ้งความวันนี้ (21 มี.ค.66) 2 คดี
โดยคดีแรก เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2565 ได้ทำหนังสือร้องเรียนต่อเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.ว่า เจ้าอาวาสวัดธรรมปัญญาราม “เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” โดยสร้างกุฏิสงฆ์ของวัดธรรมปัญญาราม ทับทางสาธารณะและรุกล้ำลำคลองสาธารณะ (คลองโรงหีบ) โดยการก่อสร้างกุฏิดังกล่าวผิดแบบก่อสร้างที่ขออนุญาตไว้ อีกทั้งยังสร้างอาคารโรงครัวโดยไม่ได้ขออนุญาตตามกฎหมาย
ต่อมาวันที่ 3 พฤษภาคม 2565 ผู้อำนวยการ ป.ป.ช. ประจำจังหวัดนครปฐมได้มีหนังสือถึงผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติว่า “เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2565 คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 41/2565 ให้ส่งเรื่องดังกล่าวให้ผู้บังคับบัญชา หรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งหรือถอดถอนดำเนินการทางวินัยไปตามหน้าที่และอำนาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 64 และเมื่อดำเนินการได้ผลเป็นประการใดโปรดแจ้งให้ทราบด้วยตามมาตรา 65”
จากนั้นในวันที่ 17 พฤษภาคม 2565 ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้ทำหนังสือถึงเจ้าคณะใหญ่อนัมนิกาย เจ้าอาวาสวัดสมณานัมว่า “สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปกครองคณะสงฆ์อนัมนิกาย เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ จึงขอถวายเรื่องแด่พระคุณท่านเพื่อโปรดพิจารณาในทางปกครองคณะสงฆ์และขอความเมตตาแจ้งผลให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติทราบด้วย”
แต่ปรากฏว่าเจ้าคณะใหญ่กลับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่ยอมตั้งอธิกรณ์หรือตั้งคณะกรรมการสอบสวน หรือไม่ยอมลงนิคหกรรมสอบสวน องพจนกรโกศล ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 และตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 พ.ศ.2521 ซึ่งตนได้สอบถามต่อ ป.ป.ช.และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติหลายครั้ง แต่กลับไม่ได้รับคำตอบและบอกว่าให้ไปดำเนินคดีกับเจ้าคณะใหญ่เอง อีกทั้งได้ยินมาว่ามีการไปฉันข้าวร่วมกันที่ต่างจังหวัดและได้พูดถึงคดีดังกล่าวว่า "จะไม่ดำเนินการใดๆ หากพระคณานัมธรรมเมธาจารย์ ยังเป็นเจ้าคณะใหญ่ จะไม่มีใครทำอะไร องพจนกรโกศล ได้" จึงได้มาแจ้งความเจ้าคณะใหญ่ และองพจนกรโกศล ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 86
ส่วนคดีที่ 2 นายมานวรรธน์ และนายสามารถ ได้ร้องเรียนมายังมูลนิธิทนายกองทัพธรรม โดยกล่าวหาเจ้าอาวาสวัดธรรมปัญญารามว่า เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2555 เจ้าอาวาสวัดธรรมปัญญาราม ได้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 63023 เลขที่ดิน 424 ตำบลบางช้าง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เนื้อที่ 2 ไร่ 2 งานราคา 1.5 ล้านบาท โดยมีใส่ชื่อตนเองเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ คาดว่าจะนำเงินวัดไปซื้อ ต่อมาในวันที่ 20 ตุลาคม 2559 ได้ขายที่ดินให้กับโยมคนหนึ่งและคาดว่าไม่ได้นำเงินจำนวนนี้เข้าวัด จึงอยากให้ตรวจสอบและหากพบการกระทำความผิดขอให้ดำเนินคดี และตนได้ไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐม สาขาสามพราน แล้ว พบว่ามีการซื้อขายกันจริง
"การกระทำดังกล่าวของเจ้าอาวาสวัดธรรมปัญญารามนั้น อาจจะเข้าข่ายการกระทำความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และมาตรา 157 และอาจขัดต่อมติของมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 15/2542 ลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2542 เรื่อง คำแนะนำการถือกรรมสิทธิ์และการถือครองที่ดินของวัด ข้อ 4 ระบุว่า "กรณีเจ้าอาวาสนำเงินของวัดไปซื้อที่ดินโดยเจตนาให้เป็นของตน หรือของบุคคลอื่น ถือเป็นการเบียดบังทรัพย์สินของวัด มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์สินของวัดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147" ดังนั้น นายมานวรรธน์ และนายสามารถ จึงได้มาแจ้งความ เพื่อดำเนินคดีกับเจ้าอาวาสวัดธรรมปัญญารามในวันนี้" นายอนันต์ชัย กล่าว - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี