‘ชูวิทย์’หนาว!ปมอ้างรับเงินหยุดแฉ บช.ก.ค้นรอบสอง 9 จุดเครือข่าย‘สารวัตรซัว’
เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 24 มีนาคม 2566 ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ในฐานะโฆษก บช.ก. เปิดเผยความคืบหน้าคดี “สารวัตรซัว” ว่า ภายหลังจากมีปฏิบัติการในวันที่ 3 มีนาคม 2566 ลงพื้นที่ตรวจค้น 63 จุด สามารถตรวจยึดอายัดทรัพย์สินได้มากกว่า 1,400 ล้านบาท จับผู้ต้องหาได้ 7 ราย ซึ่งทางกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เมื่อวานนี้ (23 มี.ค.66) ได้มีการเข้าตรวจค้นพื้นที่ 9 จุด ใน กทม. และ จันทบุรี สามารถตรวจยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หลายรายการ ได้แก่ โทรศัพท์มือถือ 9 เครื่อง แทปเล็ต 1 เครื่อง คอมพิวเตอร์ พีซี 1 เครื่อง โน๊ตบุ๊ก 4 เครื่อง บัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนัน และเชิญบุคคลเข้ามาสอบปากคำเพื่อขยายผลเพิ่มเติม
“ภายหลังจากเข้าตรวจค้น 60 บริษัท ที่เกี่ยวข้องกับคดีสารวัตรซัว มีบุคคลที่จะต้องตรวจสอบถึง 150 คน ขณะนี้สามารถกำจัดวงมาได้เหลือ 20-30 คน ซึ่งบางคนมีหุ้นในบริษัท ที่เกี่ยวข้องหลายบริษัทและมีทรัพย์สินเกินกว่ารายได้ มีเส้นทางการเงินที่มีความผิดปกติ ทำให้ทราบว่ามีความเชื่อมโยงในคดี ซึ่งตอนนี้กำลังรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป” โฆษก บช.ก. กล่าว
โฆษก บช.ก. กล่าวอีกว่า พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างมากและกำชับให้ดำเนินการด้วยความละเอียดรอบคอบ ทั้งนี้มีการประชุมคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน สัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดย พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย จเรตำรวจ ปฏิบัติราชการ บช.ก. ซึ่งจะติดตามความคืบหน้าของแต่หน่วยงานที่ได้รับมอบหมายภารกิจไปดำเนินการ เช่น บก.ปอท.ตรวจสอบภาคอากาศ โดยได้ประสานกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ปิดกั้นเว็บไซต์การพนัน จำนวน 469 url
บก.ป. รับผิดชอบการลงพื้นที่ตรวจค้นสถานที่เป้าหมายและดำเนินการในเรื่องสำนวนการสอบสวน
บก.ปทส. ตรวจสอบอสังหาริมทรัพย์ ที่อาจมีความเกี่ยวข้อง ซึ่งมีทั้งที่ดิน รีสอร์ต สนามกอล์ฟ ในหลายพื้นที่ทั้ง กทม.และอีกหลายจังหวัด
บก.ปอศ. ดูเรื่องเส้นทางการเงิน ซึ่งต้องรวบรวมพยานหลักฐานจากหลายส่วน เช่น เส้นทางการเงิน ข้อมูลนิติบุคคล หลักฐานการเสียภาษี การถือครองทรัพย์สิน ข้อมูลจากสถาบันการเงินและผู้ให้บริการอื่น เป็นต้น
ส่วนกรณีของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ออกมายอมรับกลางงานแถลงว่า รับเงินจากสารวัตรซัว เพื่อให้เลิกหยุดแฉนั้น ทางกองบัญชาการสอบสวนกลางจะต้องพิจารณาก่อนว่าทางพนักงานสอบสวนมีอำนาจให้การตรวจสอบหรือไม่ และเงินที่ นายชูวิทย์ ได้มาเป็นเงินจากอะไร หากเป็นเงินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ที่เป็นมูลฐานความผิด ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ก็อาจเป็นความผิด ตามกฎหมายฟอกเงิน ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบต่อไป
ส่วนกรณีของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ออกมาแฉว่า มีตำรวจ 2 นายพล เข้าไปติดต่อ นายชูวิทย์ เลิกแฉคดีสารวัตรซัวนั้น จะต้องรอให้ทาง ทนายตั้ม นำหลักฐานเข้ามามอบให้กับพนักงานสอบสวนเพื่อตรวจสอบว่ามีนายตำรวจกระทำตามที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่ ส่วนเรื่องที่มีการโอนสกุลเงินดิจิทัลมูลค่า 50 ล้าน ให้กับ “กล่องดวงใจ” ของนายชูวิทย์ ก็ต้องดูตามพยานหลักฐานที่ ทนายตั้ม แจ้งระหว่างการแถลงข่าวว่าจะให้ตำรวจสอบสวนกลาง ตรวจสอบ ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบต่อไปเช่นกัน ...........-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี