ชาวอุดร 116 คนยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครอง ขอให้เพิกถอนการออกประทานบัตรเหมืองโปแตช
เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2566 ที่ศาลปกครองจังหวัดอุดรธานี กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานีได้รวมตัวกันกว่า 200 คนและได้เดินทางไปยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองจังหวัด เพื่อขอให้ศาลปกครองจังหวัดมีคำสั่งและคำพิพากษา ยกเลิกเพิกถอนการออกประทานบัตร รวมถึงกระบวนการ และขั้นตอนทั้งหมดเกี่ยวกับการออกประทานบัตรเกี่ยวกับการทำเหมืองแร่โปแตชจังหวัดอุดรธานี
ทั้งนี้นางมณี บุญรอด ผู้ฟ้องคดีที่ 1 กับพวกรวม 116 คนเป็นโจทก์ยื่นฟ้องศาลปกครองโดยมอบอำนาจให้ทนายความจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน ดำเนินการฟ้องหน่วยงานรัฐ จำนวน 8 หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม คณะรัฐมนตรี คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานี คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ด้านเหมืองแร่ฯและสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
โดยผู้ฟ้องคดีทั้ง 116 ราย ขอให้ศาลมีคำพิพากษาและคำสั่ง ดังนี้ 1.พิพากษาให้ ประทานบัตรเหมืองแร่โปแตชจังหวัดอุดรธานี ทั้ง 4 แปลง ของบริษัท เอเซีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นประทานบัตรที่ออกไม่ชอบด้วยกฎหมาย และให้เพิกถอนประทานบัตรดังกล่าวเสีย 2.พิพากษาให้เพิกถอนกระบวนการขั้นตอนที่มีการดำเนินการเพื่อพิจารณาประกอบการออกประทานบัตร ทั้งหมด โดยให้มีผลนับแต่วันที่จัดทำเอกสาร
3.พิพากษาให้เพิกถอนรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเหมืองแร่โปแตช จังหวัดอุดรธานี ของของบริษัท เอเซีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด ทั้ง 4 แปลง ที่ได้ให้ความเห็นชอบโดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 และรับรองโดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 8 เนื่องจากได้ใช้ข้อมูลที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขาดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนไปใช้ในการดำเนินการดังกล่าว และไม่ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560
4.พิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 8 ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นถูกต้องครบถ้วนตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นอย่างแท้จริงบนพื้นฐานข้อมูลที่ถูกต้อง และการทำการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ก่อนที่จะมีการดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการออกประทานบัตรของหน่วยงานราชการ
นายสมยศ นิคำ อายุ 70 ปี สมาชิกกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี ให้สัมภาษณ์ว่า สาเหตุที่ฟ้องร้องเพราะว่า 4-5ปีที่ผ่านมา พวกตนได้พยายามต่อสู้ในเรื่องการไต่สวนให้ข้อมูลข่าวสารที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งเคยมายื่นฟ้องยังศาลปกครองครั้งหนึ่งแล้ว แต่มาในตอนนี้ทางบริษัทเอกชนและหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องพยายามรื้อฟื้นการทำเหมืองขึ้นมาใหม่ เคยพยายามยื่นเรื่องร้องเรียนไปเพื่อให้กระบวนการนั้นได้กลับไปยังจุดเริ่มต้นใหม่คือ การใช้กระบวนการตาม พ.ร บ.เหมืองแร่ปี 2560 ซึ่งเป็นเป้าหมายใหญ่
นายสมยศกล่าวว่า จนมาถึงตอนนี้ คณะรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา มีมติอนุมัตไฟเขียวให้มีการสัมปทานเหมืองแร่ได้ ซึ่งพวกตนกังวลใจ แต่ก็ยังต้องต่อสู้ต่อไปอีกเรื่อย ๆ เพราะที่กลุ่มอนุรักษ์ฯต่อสู้ด้วยข้อมูลที่แท้จริงมาโดยตลอด
ด้านนายอนุวัฒน์ อบโอ อายุ 37 ปี ทนายความจากจากมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน กล่าวว่า หลังจากที่ยื่นคำฟ้องไปแล้วกระบวนการขั้นต่อไปของทางศาลเองก็คือเจ้าหน้าที่ศาลจะตรวจคำฟ้องว่าครบถ้วนหรือไม่และประเด็นคำฟ้องที่ยื่นไปทางศาลปกครองจะรับไว้พิจารณาหรือไม่ อีกประการหนี่งก็คือทางเราเองได้ส่งให้ทางศาลปกครองส่งคำร้องต่าง ๆ ให้แก่ทางหน่วยงานราชการเพื่อทำหนังสือโต้แย้งและจะต้องทำหนังสือโต้ตอบเอกสารไปจนกว่าจะเป็นที่พอใจในกรณีที่ทางศาลต้องการข้อมูลเพิ่มเติมระหว่างพิจารณา
นายวีรวัฒน์ กล่าวต่ออีกว่า อยากจะขอให้ทางศาลอนุมัติคุ้มครองชั่วคราวเพื่อไม่ให้โครงการเหมืองแร่โปแตชเดินหน้าต่อไปได้เนื่องจากกระบวนการที่เรามองปกติแต่อาจจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชน ดังนั้นเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชาวบ้านไปมากกว่าเดิมจึงมีเหตุผลที่จะขอคุ้มครองชั่วคราว และกระบวนการอีกอย่างคืออยากจะให้ศาลลงพื้นที่ซึ่งเรียกกระบวนการนี้ว่า"เดินเผชิญสืบ"ตามที่ชาวบ้านกล่าวว่าพื้นที่นั้นไม่มีความเหมาะสมอย่างไรหรือสภาพหนองน้ำ และเนินแถวนั้นเป็นอย่างไร
ขณะที่ น.ส.สิริวจี ทรัพย์สมาน ตัวแทนกลุ่มเยาวชน ได้อ่านคำประกาศโดยมีเนื้อหาบางส่วนระบุว่า พวกตนจะไม่เลือกพรรคการเมือง ที่เอาเหมืองแร่โปแตช ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่โครงการเหมืองแร่โปแตช จ.อุดรธานี ได้รวมตัวกันคัดค้านโครงการฯ มาตั้งแต่ปี 2544 ในนาม “กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี” โดยใช้กระบวนการต่อสู้ผ่านอำนาจอธิปไตยทั้ง 3 ฝ่าย คือ 1.นิติบัญญัติที่รัฐธรรมนูญบัญญัติว่าด้วยเรื่องสิทธิชุมชนในการมีส่วนร่วม ขณะที่ระดับท้องถิ่นคือองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)ก็มีมติไม่เห็นชอบโครงการ 2.อำนาจบริหาร โดยกลุ่มอนุรักษ์ฯ ยื่นข้อเรียกร้องคัดค้านโครงการฯ ตั้งแต่ระดับนายก อบต. กระทั่งถึงนายกรัฐมนตรี 3. อำนาจตุลาการ ซึ่งกลุ่มชาวบ้าน ใช้ช่องทางการต่อสู้ผ่านกระบวนการยุติธรรม