จ่อหมายจับอีก 1 เป็น‘ตำรวจ’ เอี่ยว‘แอม’ เตรียมค้นโรงงานนำเข้า‘ไซยาไนด์’
2 พฤษภาคม 2566 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ประชุมตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 (บช.ภ.7) , บช.ภ.4 , กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) , กองพิสูจน์หลักฐาน และหน่วยเกี่ยวข้อง เพื่อติดตามความคืบหน้าคดี ‘แอม ไซยาไนด์’
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า คดีนี้มีความคืบหน้าไปมาก วันนี้ได้เรียกประชุมเร่งรัดสำนวนการสอบสวนคดีทั้งหมด ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 14 คน รอดชีวิต 1 ราย ล่าสุดได้ออกหมายจับ “แอม” แล้ว 10 คดี ซึ่งได้แจ้งข้อหาไปแล้ว และได้อายัดตัวตามขั้นตอนของกฎหมาย ขณะนี้ยังเหลืออีก 4 คดี อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน และสืบสวนสอบสวน เพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหาได้ครบถ้วน
“ขณะนี้ตำรวจกำลังตรวจสอบพยานหลักฐานที่เชื่อมโยงไปยังผู้ใกล้ชิดที่มีส่วนเกี่ยวข้องและร่วมกันกระทำความผิดด้วย 1 ราย มีความชัดเจนเกี่ยวกับผู้ร่วมหรือให้การสนับสนุนในการช่วยเหลือหรือร่วมกันกระทำความผิดกับแอมครั้งนี้ด้วย เบื้องต้นจากพยานหลักฐาน พบว่า เป็น “ตำรวจ” 1 นาย และถือเป็นบุคคลใกล้ชิดที่เคยเรียกมาสอบปากคำก่อนหน้านี้ โดยจากการตรวจสอบพบว่ามีเส้นทางการเงิน การใช้โทรศัพท์ และพฤติกรรมอื่นๆ ที่เชื่อมโยงอย่างชัดเจน เบื้องต้นทางตำรวจมีหลักฐานชัดเจน โดยตำรวจจะขอศาลออกหมายจับภายใน 1-2 วันนี้” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังพบแหล่งที่มาของไซยาไนด์แล้วว่าอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยตำรวจได้ขอหมายค้นจากศาล พร้อมประสานอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) เข้าตรวจสอบเรื่องการนำเข้าของสารพิษดังกล่าว ย่านลาดกระบัง ซึ่งบริษัทที่นำเข้าจะต้องระบุวัตถุประสงค์การนำเข้า และมีวิธีควบคุมไม่ให้สารพิษนี้หลุดออกไป รวมถึงไม่ให้นำไปใช้นอกวัตถุประสงค์ หากพบการกระทำผิดก็จะดำเนินคดีผู้นำเข้าด้วย
สำหรับแผนประทุษกรรมเป็นรูปแบบเดียวกันทั้งหมดเชื่อมโยงแอมเป็นผู้ลงมือก่อเหตุ มีทั้งการใส่ไซยาไนด์ในอาหาร น้ำ และสมุนไพรป้องกันโควิด เพื่อให้เหยื่อรับประทาน ส่วนการตรวจสอบเส้นทางการเงิน ได้ข้อมูลมาครบแล้ว
สำหรับกรณีของนายแด้ หลังจากนี้หากพบหลักฐานว่า ร่วมมือกระทำความผิดกับแอม จะแยกดำเนินคดีเป็นอีกสำนวนหนึ่ง ถึงแม้นายแด้จะเสียชีวิตไปแล้ว ตำรวจจะดำเนินคดีในฐานผู้กระทำผิด แต่เนื่องจากเจ้าตัวเสียชีวิตไปแล้ว ในทางกฎหมายการดำเนินคดีถือว่าเป็นที่สิ้นสุด
รอง ผบ.ตร. ระบุว่า ส่วนกรณีที่แอมเคยขายประกันชีวิตนั้นอยู่ระหว่างตรวจสอบคนที่ทำประกัน ว่า สถานะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และหากเสียชีวิตมีใครได้รับประโยชน์จากการเสียชีวิตบ้าง รวมถึงกระบวนการจำนำรถ และคดีของนางสาวมณฑาทิพย์ ขาวอินทร์ หรือ “ทราย” ที่เสียชีวิตในพื้นที่ สน.ทองหล่อ อยู่ระหว่างตรวจสอบทั้งหมด พร้อมยอมรับว่า คดีที่ผ่านมา อย่างคดี “สารวัตรปู” หรือ พ.ต.ต. หญิง นิภา แสนจันทร์ มีความบกพร่องทั้งที่มีผลว่า “พบไซยาไนด์” แต่ไม่มีการดำเนินคดี ซึ่งถือว่าบกพร่อง หลังจากนี้จะต้องปรับกระบวนการ จะต้องผ่าชันสูตรศพทั้งหมดที่เสียชีวิตผิดธรรมชาติ แม้ญาติจะไม่ติดใจ
“จากแผนประทุษกรรมพบว่า เป็นรูปแบบเดียวกันทั้งหมด ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงแอม ยืนยันตำรวจมีหลักฐานชัดเจนศาลจึงอนุมัติหมายจับ แม้หลายคดีผู้เสียชีวิตฌาปนกิจไปแล้ว แต่ยังไม่ขอเปิดเผยเนื่องจากอยู่ในสำนวนคดี” รอง ผบ.ตร. กล่าว
รอง ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า มีข้อมูลจากหลายส่วนว่ามีบุคคลที่เคยติดต่อกับแอมแล้วเสียชีวิต ซึ่งกำลังตรวจสอบว่ามีผู้เสียหายเพิ่มเติมอีกหรือไม่ หากมีญาติผู้เสียชีวิตรายใดที่เคยพบปะและได้ดื่มกินอาหารจากแอม ให้มาติดต่อตนได้ที่สโมสรตำรวจ ทั้งนี้ยอมรับกรณีที่เกิดขึ้นเป็นความบกพร่องของกระบวนการยุติธรรม ที่ไม่ได้มีการชันสูตรพลิกศพตามกระบวนการ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกหลายราย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจึงได้กำชับพนักงานสอบสวนและหัวหน้าสถานีให้มีการตรวจชันสูตรพลิกศพที่เสียชีวิตโดยผิดธรรมชาติในทุกกรณี เช่น หัวใจวายเฉียบพลัน ลักษณะมือและเล็บเขียว แม้จะเป็นกรณีที่ญาติไม่ติดใจสาเหตุการเสียชีวิตก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย ซึ่งแนวทางการปฏิบัติของพนักงานสอบสวนและแพทย์นั้นมีระเบียบกำหนดไว้อยู่แล้ว แต่สำหรับบางกรณีที่ผ่านมาต้องเห็นใจพนักงานสอบสวนในพื้นที่ห่างไกลที่มีปัญหาในการเคลื่อนย้ายศพไปชันสูตรด้วย
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี