เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เปิดเวทีเสวนา เรื่อง “อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์กับการพัฒนาประเทศไทย” ณ หอประชุมเจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) โดย รศ.ดร.คมสัน มาลีสีอธิการบดี สจล. กล่าวว่า อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ต้นน้ำหากไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศก็ยากที่ไทยจะพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง หรือ High Technology จึงต้องมุ่งพัฒนากำลังคนที่มีทักษะและสมรรถนะสูง
ซึ่งเมื่อสถาบันการศึกษาร่วมมือกับภาคเอกชนและอุตสาหกรรมได้อย่างเข้มแข็ง จะสามารถผลิตบุคลากรที่มีศักยภาพตรงตามความต้องการและแนวโน้มอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับส่งเสริมสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อให้สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ การผลิตและยกระดับกำลังคนให้พร้อมรองรับทั้งด้านฮาร์ดแวร์ การเขียนโปรแกรม การผลิตชิปดีไซน์ การออกแบบ หรือวงจรต่างๆ
สร้างต้นแบบการเรียนรู้ Success Model และองค์ประกอบ ระบบนิเวศอื่นๆ เช่น ห้องแล็บ ยกระดับงาน R&D เครื่องมือสำหรับการเรียนการสอน เพื่อขยายผลไปสู่สถาบันต่างๆ ให้สามารถตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมและทิศทางการแข่งขันของประเทศ รวมทั้งด้านอาชีวศึกษาที่มีจำนวนมากจะเป็นแรงพลังสำคัญ ซึ่งต้องได้รับการสนับสนุนให้เดินไปพร้อมกันอย่างต่อเนื่อง
“ไทยควรเตรียมการรองรับการเติบโตของ อิเล็กทรอนิกส์ออร์แกนิคส์ หรือ อิเล็กทรอนิกส์อินทรีย์ (Organic Electronics) ซึ่งกำลังมาแรงและเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เพื่อผู้บริโภค ด้วยวัสดุและการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงานใช้ทรัพยากรต่ำ ขั้นตอนผลิตที่เรียบง่าย มีความยืดหยุ่น และประสิทธิภาพสูง ทั้งนี้ เอเชีย-แปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่อิเล็กทรอนิกส์อินทรีย์เติบโตเร็วที่สุด เนื่องจากเป็นฐานการผลิตขนาดใหญ่และเป็นตลาดหลัก” รศ.ดร.คมสัน กล่าว
ดร.ชิต เหล่าวัฒนา ผู้ก่อตั้ง สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม กล่าวว่า การศึกษารูปแบบใหม่นอกจากเป็นการผลิตกำลังคนให้ทันเวลาแล้ว ยังเป็นสิ่งที่ประเทศไทยสามารถนำไปสร้างแรงจูงใจให้เอกชนด้านอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาลงทุนใประเทศได้ ซึ่งแม้จะมีผู้เชี่ยวชาญมากมายในมหาวิทยาลัย แต่หากใช้ Supply Push เป็นแรงส่งขับเคลื่อนจะไปได้ช้า
“เรามีความสามารถในการประยุกต์การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ มหาวิทยาลัย และภาคอุตสาหกรรม การพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยโดยมีภาคเอกชนนำ พร้อมกับการสร้างแรงจูงใจในการลงทุนและการพัฒนาบุคลากรไปพร้อมกัน ปัจจุบันระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โครงการ EEC Sandbox มีหลักสูตรระยะสั้นกว่า 200 หลักสูตร พัฒนาบุคลากรไปแล้วกว่า 1 แสนคนโดยเราตั้งเป้าหมายพัฒนาบุคลากรในอีอีซีจำนวน 475,000 คน” ดร.ชิต ระบุ
สัมพันธ์ ศิลปนาฏ รองประธานและผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายปฏิบัติการฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ บริษัท เวสเทิร์น ดิจิตอล สตอเรจ เทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การเชื่อมโยงด้านแรงงานคนและตลาดโลก หากมองที่อิเล็กทรอนิกส์จะเห็น 2 โจทย์ คือ 1.อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และ 2.การพัฒนาประเทศ สิ่งแรกคือขับเคลื่อนการศึกษาของประเทศแบบ Competency Baseลดรูปแบบการศึกษาในเชิงปรัชญาและเชิงวิชาการ มีการออกไปเรียนรู้กับภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่องส่งเสริมการเรียนแบบ Block Course โดยเริ่มต้นทันทีในรั้วการศึกษาของมหาวิทยาลัย ผลิตกำลังคนแบบ Supply Push ให้กลายเป็น Demand Pull ป้อนสู่ความต้องการของตลาดแรงงาน
“การมี Co-Created Education อาจารย์จะต้องร่วมกันกับภาคธุรกิจภาคอุตสาหกรรมเพื่อเรียนรู้ไปด้วยกัน และ In-Depth Partnerships เป้าหมายของการศึกษารูปแบบใหม่ เพื่อผลิตบัณฑิตตอบโจทย์มาตรฐาน “พลเมืองโลก’” (Global Citizens) ได้รับผลตอบแทนสูง มีงานตั้งแต่เรียนจบ ประเทศไทยต้องมองไปที่การพัฒนา “Hi-End Technology” ขยับขึ้นไปเป็น “ต้นน้ำ” ลดการพึ่งพา Assembly และ Test โดยคาดการณ์ว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า อุตสาหกรรมไมโครอิเล็กทรอนิกส์ จะเติบโตขึ้น 46% ทั่วโลก” สัมพันธ์ กล่าว
ดร.บดินทร์ เกษมเศรษฐ์ ซีอีโอ บมจ. ซิลิคอน คราฟท์ เทคโนโลยี กล่าวว่า ตั้งแต่ช่วงเริ่มการระบาดของไวรัสโควิด-19 การเติบโตของเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกก้าวกระโดดเติบโตมากถึง 110,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หากมองย้อนกลับไปในระดับมหภาครวมระยะ 30 ปีก่อน ยอดขายของเซมิคอนดักเตอร์เติบโตอยู่ที่ 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่เห็นชัดเจนคือ เริ่มมีการเคลื่อนไหวของบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ในจีน ที่มองหาพาร์ทเนอร์และการตั้งบริษัทในต่างแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในสหรัฐอเมริกาก็ได้เคลื่อนไหวเช่นกัน
“เมื่อก่อนเราจะรับรู้ว่าเส้นทางเทคโนโลยีเป็นการเปลี่ยนจากโลกตะวันตกมาเป็นตะวันออก West to East แต่ในปัจจุบันเกิดการสวนกลายเป็น East to West ส่วนเทคโนโลยีของ Wafer Fabrication เทคโนโลยีของการ Design ย้ายมาเติบโตที่ East ซึ่งในต่างประเทศประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน เป็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญและเป็นโอกาสสำหรับประเทศไทย” ดร.บดินทร์ กล่าว
วิรัตน์ ศรีอมรกิจกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อนาล็อก ดีไวเซส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ประเทศไทยส่งออกอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ในปี 2564 อยู่ประมาณ 2 ล้านล้านบาท หรือเทียบเท่ากับร้อยละ 12.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ในประเทศ แต่น่าเสียดายที่ในประเทศไทยกลับไม่มีธุรกิจต้นน้ำในส่วนนี้ โดยในอนาคตบริษัทมีแผนจะขยายโรงงาน พัฒนา R&D และ IC Design ระยะเวลา 5 ปี
“จะมีความต้องการวิศวกรกว่า 400 คนโดยเฉพาะด้านอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการศึกษา เช่น สจล. ในการเป็นแก่นกลางทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ ซึ่งจะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศไทย สถาบันการศึกษา เยาวชนคนรุ่นใหม่ และสตาร์ทอัพในประเทศไทย ภาครัฐควรให้ความสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ เพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้จาก เวียดนาม ที่ได้ให้การสนับสนุนสิทธิประโยชน์สูงกว่าประเทศไทยมาก” วิรัตน์ กล่าว
รศ.ดร.สุขุม อิสเสงี่ยม ผู้ประสานงาน สำนักประสานงานการวิจัยและพัฒนาวัสดุขั้นสูงเพื่ออุตสาหกรรม สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า ไมโครอิเล็กทรอนิกส์จะเป็นแกนหลักในการพัฒนาประเทศ หรือ Grand Technology ต่อไปในอนาคต ซึ่งมีความสำคัญที่ต้องส่งเสริมและพัฒนาให้ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีองค์ความรู้ในด้านนี้ และต้องไม่เป็นรองที่อื่น ผลักดันประเทศไทยให้เกิด “ฮับไมโครอิเล็กทรอนิกส์” โดยให้ภาคเอกชนนำเป็นหลัก ภาครัฐเป็นผู้ให้การสนับสนุนอย่างเข้มแข็ง ประสานให้เกิดความสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน
“นับเป็นโอกาสของประเทศไทยที่จะก้าวกระโดดไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งต้องร่วมมือกันในทุกภาคส่วน เพื่อจะสามารถขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ให้ก้าวไปข้างหน้า” รศ.ดร.สุขุม กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี