ทนายรัชพล พาชายชาวลาวแจ้งความ ปปป.เอาผิดจนท.ปปส.ยึดรถยนต์ของกลางไปขายก่อนศาลพิพากษา 3.5 แสนเหลือ 2 หมื่นบาท
วันที่ 6 มิถุนายน 2566 เวลา 13.00 น. ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน แขวงจอมพล เขตจตุจักร กทม. นายรัชพล ศิริสาคร ทนายความ พานายไหม อายุ 55 ปี ชาว สปป.ลาว เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติไม่ชอบ หรือ บก.ปปป. เพื่อ ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. จำนวน 3 นาย และตำรวจชุดจับกุม ในความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เป็นเจ้าหน้าที่ละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีที่ถูกจับกุมในคดีลักลอบขนเฮโรอีน 13 กิโลกรัม เมื่อปี 2559 ซึ่งภายหลังศาลได้ยกฟ้อง แต่รถยนต์ที่ถูกยึดเป็นของกลาง กลับถูกขายทอดตลาดไป
นายรัชพล กล่าวว่า การขายทอดตลาดรถของกลางของนายไหมในคดีนี้ พบพิรุธอยู่หลายประการ คือ หลังจากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้องตามศาลชั้นต้น ถือว่าคดีอาญาเป็นที่สิ้นสุด เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส.ต้องคืนทรัพย์สินทั้งหมดที่ยึดจากจำเลย โดยศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2562 แต่ทาง ป.ป.ส.มีการแจ้งขายทอดตลาดรถ ในวันที่ 7 มกราคม 2563 แต่ไม่ได้ระบุวันขาย ก่อนที่จะขายทอดตลาดรถไป ซึ่งตามกฎหมายแล้วทำไม่ได้ อีกทั้งมีการขายในราคาต่ำกว่าท้องตลาดเกินจริง และรถยนต์คันดังกล่าวไม่ถือเป็นรถในคดี เนื่องจากไม่ได้ใช้ก่อเหตุ แต่เจ้าหน้าที่กลับยึดมาขณะเข้าจับกุม ซึ่งนายไหมกำลังขับอยู่
ด้านนายไหม เปิดเผยว่า หลังจากได้ทำเรื่องร้องเรียนไปตามขั้นตอน ได้เสนอขอเงินชดใช้ค่าเสียหาย และค่าเสียเวลาไป 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณเกือบ 300,000 บาท แต่ทาง ป.ป.ส. เสนอให้เงินชดใช้ค่าเสียหายเพียงแค่ 20,000 บาท ตามราคารถที่ถูกขายทอดตลาดไป ซึ่งตนเห็นว่าเป็นราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาด เพราะซื้อรถคันนี้มาในราคา 350,000 บาท อีกทั้งยังต้องใช้เงินในการสู้คดีและเดินทางร้องเรียน เห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงมาแจ้งความเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
สำหรับนายไหมได้ถูกจับกุมในข้อหาขนเฮโรอีน 13 กิโลกรัม จากนครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว มายังจังหวัดอุดรธานี โดยได้รับค่าจ้าง 3,500 บาท และถูกตัดสินจำคุกเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2559 พร้อมรถยนต์ยี่ห้อเชอรี่ มูลค่า 350,000 บาท เป็นของกลาง ระหว่างพิจารณาต้องอยู่ในคุกไม่ได้ประกันตัว ต่อมาเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 60 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และ วันที่ 22 มกราคม 2562 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น โดยศาลเห็นพ้องตรงกันว่านายไหมไม่เกี่ยวข้อง และไม่ใช่ผู้ร่วมขบวนการ ส่วนรถยนต์ศาลสั่งให้คืนเพราะคดีถึงที่สุดแล้ว รวมระยะเวลาติดคุกไปกว่า 2 ปี แต่เมื่อตนออกมาจากคุกจึงมาถามหารถยนต์คันดังกล่าว ซึ่งทาง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. แจ้งว่า รถยนต์คันดังกล่าวได้ขายทอดตลาดไปแล้ว ในราคา 20,000 บาท ซึ่งราคาต่ำกว่าราคาท้องตลาด นายไหมรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมที่ต้องสูญเสียทรัพย์สินไปโดยไม่มีผู้รับผิดชอบ
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนสอบปากคำผู้เสียหายเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี