ฟันอาญา12นาย
เด้ง40ตร.ทางหลวงเอี่ยวส่วย
ความผิดฐานเรียกรับสินบน
‘บิ๊กเต่า’เชื่อมีมากกว่านี้
‘วิโรจน์’จี้ขยับ3มาตรการ
ลุยแก้ปัญหาส่วยให้สิ้นซาก
รักษาการ ผบก.ทล. เซ็นย้าย 40 ตำรวจทางหลวง เข้า ศปก.ทล. เซ่นส่วยสติ๊กเกอร์รถบรรทุก เผย 12 นาย โดนฟันคดีอาญา เรียกรับสินบน“วิโรจน์” เปิดผลหารือการทางตำรวจขยับเพิ่ม 3 มาตรการกำราบ “ส่วยทางหลวง” ด้าน “คมนาคม” จี้ ทล.-ทช. เปลี่ยนใช้ระบบตรวจจับเรียลไทม์ หวังสกัดส่วยรถบรรทุก เล็งหารืออีกครั้ง 20 มิถุนายนนี้
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 9 มิ.ย.66 พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. รักษาราชการแทน ผบก.ทล. กล่าวถึงความคืบหน้าการลงนามคำสั่งโยกย้ายข้าราชการตำรวจทางหลวง ที่ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีส่วยสติ๊กเกอร์รถบรรทุก ว่า ขณะนี้คณะทำงานได้รวบรวมรายชื่อทั้งหมดส่งให้กองบังคับการตำรวจทางหลวง เพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไป
“ยืนยันว่าจะลงนามแล้วเสร็จภายในวันนี้โดยเป็นข้าราชการตำรวจยศตั้งแต่ รองผู้กำกับการ ลงไป จนถึงชั้นประทวน ประมาณ 40 นาย ให้ไปปฏิบัติหน้าที่ช่วยราชการที่ ศปก.บก.ทล.ก่อน โดยยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่า เป็นตำรวจจากท้องที่ใดบ้าง ส่วนจะมีตำรวจยศสูงกว่านี้เข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่นั้น เชื่อว่ามี แต่เป็นของหน่วยงานอื่น ซึ่งคณะทำงานของ ปปป.ก็จะทยอยสืบสวนขยายผลต่อไป”พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าว
เชื่อไม่ได้มีตร.เอี่ยวแค่40นาย
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ยืนยันคณะทำงานขยายผลสืบสวนมาโดยตลอด ไม่ได้นิ่งดูดายกับการแก้ไขปัญหา การสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานจะดำเนินการไปเรื่อยๆ คนไหนมีพยานหลักฐานก็ดำเนินการไป คนไหนถูกพาดพิงแต่ผู้ประกอบการยังไม่กล้าให้การเป็นลายลักษณ์อักษรก็ว่าไป แต่ตำรวจก็จะพยายามรวบรวมพยานหลักฐานทุกอย่างให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น และจะมีคำสั่งในการดำเนินการออกมาเรื่อยๆ รวมถึงจะมีการเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องหรือถูกพาดพิงเข้ามาให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกแน่นอน เพราะเชื่อว่ายังไม่จบแค่ตำรวจ 40 นายนี้
ยันทำตามกฎหมายขออย่ากังวล
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นำหลักฐานมายื่นให้เพิ่มเติมเพื่อดำเนินคดีกับขบวนการรถบรรทุกน้ำมันเถื่อนและส่วยสติ๊กเกอร์ ได้มีการมอบหมายให้คณะทำงาน ปปป. ดูแลแทน ตนเองมีหน้าที่ดูแลคดีของตำรวจทางหลวง ดำเนินการแยกกันคนละส่วน แต่ยังมีการประสานข้อมูลกันตลอด ซึ่ง ปปป. ก็จะเป็นหน่วยงานหลักในการสืบสวนขยายผล ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางมีคำสั่งให้ใช้กำลังตำรวจอย่างเต็มในการคลี่คลายสถานการณ์ และสร้างกองบังคับการตำรวจทางหลวงขึ้นมาใหม่ ให้เป็นที่ยอมรับของพี่น้องประชาชน
“ส่วนกรณีรถบรรทุกน้ำมันเถื่อนที่นายอัจฉริยะบอกว่าหายไปนั้น ตอนนี้ผมก็ยังสับสน และยังไม่มีความชัดเจนว่ารถของกลางอยู่ที่หน่วยงานใด แต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องยังพูดไม่ตรงกันและยังไม่มีความชัดเจน จึงยังไม่อยากด่วนสรุปตอนนี้ แต่ได้ให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสืบสวนร่วมกับกรมสรรพสามิต และประสานข้อมูลกันให้มีความชัดเจนก่อน และขอให้ทุกฝ่ายอย่ากังวล ทุกอย่างต้องดำเนินการตามกฎหมาย” รักษาราชการแทน ผบก.ทล. กล่าว
เซ็นย้าย40ตร.ทางหลวงเอี่ยวส่วย
ต่อมา เวลา 15.30 น. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. รักษาราชการแทน ผบก.ทล. ลงนามหนังสือคำสั่งกองบังคับการตำรวจทางหลวง ลงวันที่ 9 มิ.ย.2566 เรื่องโยกย้ายข้าราชการตำรวจทางหลวงต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีส่วยสติ๊กเกอร์รถบรรทุก และเรียกรับผลประโยชน์อื่นๆจำนวน 40 นาย ประกอบด้วย 1.เจ้าหน้าที่ตำแหน่งรอง ผกก. 1 นาย 2. ตำแหน่ง รอง สว. จำนวน 17 นาย 3.เจ้าหน้าที่ระดับชั้นประทวน จำนวน 22 นาย
ทั้งนี้ ให้ไปปฏิบัติหน้าที่ช่วยราชการที่ ศปก.บก.ทล. โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 มิ.ย. เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ก็เพื่อให้การตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆ เป็นไปด้วยความโปร่งใส
12นายโดนฟันคดีอาญา
สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงทั้ง 40 นาย พบในจำนวนนี้มีเจ้าหน้าที่ถึง 12 นาย ที่จะต้องถูกดำเนินคดีอาญา ในความผิดฐาน “เป็นเจ้าพนักงาน เรียกรับ หรือ ยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่ , เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” ซึ่งเป็นผลพวงจากกรณีที่ก่อนหน้าเคยถูกร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องเรียกรับเงินสินบนอื่นๆจากผู้ประกอบการรถบรรทุก
‘วิโรจน์’เพิ่ม3มาตรการปราบส่วย
ด้าน นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่าน “Wiroj Lakkhanaadisorn - วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” หัวข้อ “3 มาตรการเพิ่มเติม กำราบส่วยทางหลวง 1.สาวถึงโรงงานต้นทาง 2.จัดการกับตำรวจค้าสำนวน 3.เลิกโบกกลั่นแกล้ง” สรุปเนื้อหาดังนี้ 3 มาตรการเพิ่มเติม กำราบส่วยทางหลวง 1.สาวถึงโรงงานต้นทาง 2.จัดการกับตำรวจค้าสำนวน 3.เลิกโบกกลั่นแกล้ง
จากการหารือร่วมกันระหว่างผม อ.สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ - Surachet Pravinvongvuth ผู้แทนจากสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย กับคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจ พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ฎิษพจน์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ตร. รรท.รอง จตร. และพล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ รองผู้บัญชาการตํารวจสอบสวนกลาง เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 66 นอกจากการส่งมอบเบาะแสเพื่อการสืบสวนขยายผลเรื่อง “ส่วยสติ๊กเกอร์” แล้ว ที่ประชุมยังมีข้อเสนอเพิ่มเติมร่วมกัน ในการจัดการกับปัญหานี้ ให้ครอบคลุมเพิ่มเติมอีก 3 มาตรการ คือ
สาวถึงโรงงานต้นทาง
1. การดำเนินคดีกับผู้ประกอบการต้นทางเช่นโรงโม่หิน บ่อดิน บ่อทราย โรงงาน ฯลฯ ที่มีเจตนาใส่น้ำหนักเกินให้กับรถบรรทุก มาตั้งแต่ต้นทาง ยัดเยียดให้แบกตู้คอนเทนเนอร์ 2 ตู้ ในคราวเดียวกัน เนื่องจากผู้ประกอบการต้นทางเหล่านี้ มีตราชั่งที่สถานประกอบการอยู่แล้ว รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าน้ำหนักบรรทุกต้นทางเป็นเท่าใด แต่ก็ยังบังคับยัดเยียดให้รถบรรทุกแบกน้ำหนักเกิน โดยจะพิจารณาดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 86 ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วน พร้อมกับเสนอให้ยึดใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน หรือ ร.ง.4 ด้วย เพราะที่ผ่านมาผู้ประกอบการต้นทางเหล่านี้ มักจะบีบบังคับให้ผู้ขับรถบรรทุกต้องจำยอมบรรทุกน้ำหนักเกิน โดยไม่เคยต้องมาร่วมรับผิดชอบอะไร สำหรับการสืบสวนหาผู้ประกอบการต้นทางที่สนับสนุนการกระทำผิด ก็ไม่ยากเลย เพราะรถบรรทุกทุกคัน ต้องติดตั้ง GPS ตามกฎหมายอยู่แล้ว แค่ตรวจสอบข้อมูลเส้นทางการเดินทาง ก็จะทราบโดยทันทีว่าผู้ประกอบการต้นทางนั้นเป็นใคร
จัดการตำรวจค้าสำนวน
2. จัดการกับพนักงานสอบสวนบางนาย ที่มีพฤติกรรม “ค้าสำนวน” ที่นำเอา “การริบรถ” มาใช้เรียกรับผลประโยชน์จากรถบรรทุกน้ำหนักเกิน ใครที่ยอมจ่าย 30,000-70,000 บาท ก็จะทำสัญญาเช่าช่วงรถเท็จขึ้นมาในสำนวน เพื่อเปลี่ยนสถานะของผู้ขับรถ จาก “ลูกจ้าง” ให้มาเป็น “ผู้เช่ารถ” เพื่อที่รถบรรทุกคันดังกล่าวจะได้ไม่ถูกริบ พฤติกรรมการค้าสำนวนแบบนี้ ทำให้รถบรรทุกที่บรรทุกน้ำหนักเกินไปเพียงเล็กน้อย 100-200 กิโลกรัม ซึ่งไม่มีเจตนาในการบรรทุกน้ำหนักเกินอยู่แล้ว ต้องถูกกฎหมายรังแก ขณะที่รถบรรทุกที่จงใจบรรทุกน้ำหนักเกิน30-40 ตัน กลับลอยนวลพ้นผิด หรือรับโทษเพียงแค่สถานเบา
นอกจากนี้ ยังพบเบาะแสเพิ่มเติมว่าในบางท้องที่ พนักงานสอบสวนไม่ได้ดำเนินการค้าสำนวนโดยลำพัง แต่มีการเชื่อมโยงไปยังพนักงานอัยการบางท่านอีกด้วย ถือเป็นความเสื่อมเสียของกระบวนการยุติธรรมอย่างมาก
ซึ่งกรณีนี้ ทางจเรตำรวจ ได้รับข้อเสนอไปตรวจสอบสำนวนคดีที่เกี่ยวข้องกับรถบรรทุกน้ำหนักเกินย้อนหลัง หากพบพฤติกรรมการค้าสำนวนของพนักงานสอบสวน ก็จะสืบสวนขยายผล และพิจารณาดำเนินการทั้งทางวินัย และทางอาญากับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน โดยไม่มีการละเว้น
เลิกการโบกรถกลั่นแกล้ง
3.ทาง พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ รองผู้บัญชาการสอบสวนกลาง ได้เสนอแนวทางในการแก้ไขเพิ่มเติมว่า เพื่อป้องกันไม่ให้ตำรวจที่ไม่ดีบางนาย ใช้อำนาจตามอำเภอใจ โบกให้รถบรรทุกจอด แล้ววนตรวจจุกจิกไปมา เพื่อกลั่นแกล้งให้รถบรรทุกที่ไม่ยอมจ่ายส่วย เสียเวลาทำมาหากิน ทางกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จะออกคำสั่งเพื่อกำชับการใช้อำนาจของตำรวจทางหลวงทุกสถานี โดยจะโบกให้รถบรรทุกจอดเพื่อตรวจสอบ ในกรณีที่มีเหตุต้องสงสัยเท่านั้น เช่น พบลักษณะรถที่ต้องสงสัยตามการข่าวที่ได้รับ พบการดัดแปลงสภาพรถ หรือพบลักษณะทางกายภาพที่ต้องสงสัยว่าจะบรรทุกน้ำหนักเกิน เป็นต้น รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางย้ำว่าด้วยประสบการณ์ของตำรวจทางหลวง แค่พิจารณาด้วยสายตาก็รู้อยู่แล้วว่ารถบรรทุกสภาพแบบไหน ที่ต้องสงสัยว่าจะบรรทุกน้ำหนักเกิน ดังนั้นการโบกรถที่ไม่มีเหตุต้องสงสัยให้จอดตามอำเภอใจ เพื่อทำให้เสียเวลาทำมาหากิน จะต้องไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป
คมนาคมจี้ใช้เทคโนโลยีมากขึ้น
ที่กระทรวงคมนาคม นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีการติดสินบนเจ้าหน้าที่โดยการติดสติ๊กเกอร์บนรถบรรทุก ครั้งที่ 2/2566 ว่า ก่อนหน้านี้ได้นำสื่อมวลชนลงพื้นที่ไปดูกระบวนการจับกุมรถบรรทุกน้ำหนักเกิน เพื่อให้เข้าใจระบบทางด้านเทคนิค พร้อมยอมรับว่าระบบที่ผ่านมามีช่องโหว่ที่ทำให้เกิดกระบวนการทุจริต เนื่องจากมีการใช้บุคลากรเข้าไปตรวจสอบและดำเนินการจับกุม
โดยผลการประชุมในครั้งนี้จะมีการมุ่งเน้นให้ใช้ระบบทางด้านเทคนิคระบบไอทีเข้ามามากขึ้นและลดจำนวนคน เพื่อให้ลดการทุจริตให้ได้มากที่สุด สำหรับในระยะยาวจะนำระบบบอดี้คาเมร่า (Body Camera) หรือกล้องติดตัว ซึ่งเป็นรูปแบบออนไลน์ เมื่อมีการตรวจจับ จะเห็นภาพเข้าสู่ส่วนกลางทันที และมีการบันทึกการจับกุม ซึ่งจะทำให้เห็นกระบวนการทำงานของเจ้าหน้าที่และลดการทุจริต เบื้องต้นได้สั่งการให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทไปพิจารณา และนำเสนอในการประชุมครั้งต่อไป ในวันที่ 20 มิถุนายนนี้
ทล.ตั้งคณะทำงาน2ชุดมาแก้ปัญหา
นายจิระพงศ์ เทพพิทักษ์ รองอธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) กล่าวว่า ปัจจุบันกรมฯ ได้ตั้งคณะทำงาน 2 ชุด โดยชุดแรกจะดูเรื่องคน หรือผู้กระทำผิด ซึ่งหลังจากนี้จะมีการเชิญสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทยมาให้ข้อมูล และรายชื่อข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ที่กระทำผิด เพื่อนำมาตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป ส่วนคณะทำงานชุดที่สองจะดูในเรื่องของด่านชั่งน้ำหนัก เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะมีการขอข้อมูลจีพีเอสรถบรรทุก ของกรมขนส่งทางบก (ขบ.) เพื่อให้เกิดการบูรณาการร่วมกัน ซึ่งเบื้องต้นอยู่ระหว่างจัดทำร่างการลงนามบันทึกข้อตกลกร่วมกัน (เอ็มโอยู) กับทาง ขบ. เพื่อปิดช่องโหว่ในการทำทุจริต และเพื่อให้ได้ข้อมูลของรถบรรทุกที่เรียลไทม์มากขึ้นอีกด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี