กลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในผืนแผ่นดินเดียวกับพลเมืองอื่นๆ ในประเทศ แม้จะมีภาษาและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันแต่ก็มีฐานะเป็นพลเมืองของประเทศเช่นเดียวกัน จึงมีสิทธิมีเสียงที่ทุกคนในประเทศต้องรับฟัง ซึ่ง รศ.ดร.โสภนาศรีจำปา ประธานศูนย์ภารตะศึกษาและอาจารย์ประจำสาขาวิชาภาษาศาสตร์สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ในสังคมพหุวัฒนธรรมที่ประกอบไปด้วยผู้คนที่มีความแตกต่างหลากหลายทางภาษาและวัฒนธรรมมาอยู่ร่วมกัน ปัญหาที่ยังคงพบตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน คือการยอมรับในความต่าง
หลายความขัดแย้งที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มาจากการยึดมั่นในความคิดที่ว่าชนกลุ่มชาติพันธุ์เป็นเพียงแค่ชนกลุ่มน้อย และจากการถูกคาดหวังให้ดำเนินชีวิตตามกรอบ จนต้องสูญเสียอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ซึ่งเปรียบได้กับการสูญเสียมรดกของมวลมนุษยชาติ ทั้งนี้ จากงานวิจัยเพื่อศึกษาแนวทางในการบริหารจัดการกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย เมียนมา และไทย เป็นบริเวณซึ่งมีลักษณะทางชาติพันธุ์แบบมองโกลอยด์ ภาษาตระกูลทิเบต-พม่า และวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน
มีแนะนำถึงปัจจัยสำคัญของการปกป้องชนกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งมีภาษาและวัฒนธรรมอันเป็นคุณค่าและความรุ่มรวยของมนุษยชาติที่แตกต่างหลากหลายไม่ให้สูญสลาย คือ “การสร้างการมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึง และเท่าเทียมกัน” ซึ่งสำคัญต่อการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยความสันติสุข ดังตัวอย่างกรณีศึกษาจาก“รัฐมณีปุระ” ที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี มีประชากรราว 3.4 ล้านคน แต่มีกลุ่มชาติพันธุ์ราว 30 กลุ่ม
ชนกลุ่มชนกลุ่มชาติพันธุ์ในรัฐมณีปุระมีสิทธิและมีส่วนร่วมในการบริหารและปกครองรัฐผ่านการเลือกตั้งภายในรัฐโดยมีมุขมนตรีเป็นหัวหน้าและเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารภายในรัฐ และมีสภานิติบัญญัติแห่งรัฐที่ชนกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งได้รับเลือกตั้งให้เข้าไปทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรมีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นในการวางแผนบริหารจัดการภายในพื้นที่การปกครองได้อย่างเต็มที่ ซึ่งสามารถนำมาเป็นตัวอย่างในการศึกษาแนวทางในการบริหารจัดการกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมได้
นอกจากนี้ ยังพบว่าคุณค่าทางภูมิปัญญาของกลุ่มชาติพันธุ์ อาจแปรเปลี่ยนสู่การสร้างมูลค่าได้อย่างนึกไม่ถึง ตัวอย่างเช่น ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ด้วยภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมาของกลุ่มชาติพันธุ์ อิ้นต้า (Intha) ทำให้วิถีชีวิตที่ต้องอยู่ท่ามกลางทะเลสาบอินเลไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำการเกษตรลอยน้ำ จากภูมิปัญญาในการนำเศษวัชพืชมาซ้อนทับด้วยดินโคลนและพืชน้ำเพื่อทำการเกษตรปลูกผักผลไม้ในทะเลสาบ
ซึ่งเป็นวิถีธรรมชาติที่อาจนำไปประยุกต์ใช้เป็นต้นแบบเพื่อรับมือกับสภาพการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ (Climate Change) ในพื้นที่อื่นๆ ของโลกได้ต่อไปในอนาคต นอกจากความยั่งยืนจากรายได้ที่สร้างขึ้นจากการจำหน่ายผักผลไม้ซึ่งเป็นผลิตผลจากการทำเกษตรลอยน้ำดังกล่าวแล้ว ยังสามารถใช้เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรมได้อีกด้วย
สำหรับในประเทศไทย แนวทางการบริหารจัดการกลุ่มชาติพันธุ์อาจนำมาปรับใช้ด้วยการจัดทำและบรรจุเนื้อหาเรื่องความแตกต่างหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในประเทศไทยไว้ในหลักสูตรตั้งแต่ระดับประถมศึกษาขึ้นไป เพื่อสร้างความรู้เรา รู้เขา เข้าใจในคุณค่า และอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ อีกทั้งควรส่งเสริมการรู้เรา รู้เขาระหว่างสังคมไทยและแรงงานข้ามชาติ จะทำให้คนไทยเข้าถึงการอยู่ร่วมกันในระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ กับประเทศอื่นๆ ได้อย่างเท่าเทียม เป็นธรรม และเป็นสุข
ดังเจตนารมณ์ที่ระบุไว้ใน “เสาสังคมและวัฒนธรรม” ของอาเซียน และเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคมไทยและประชาคมอาเซียนไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้วย!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี