กฤษฎีกาชี้ สปสช.มีอำนาจจัดบริการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรคแก่คนไทยทุกคน มติครม.มาทำได้ทันที
เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2566 นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยถึงการประชุมบอร์ด สปสช. เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2566 โดยมีการพิจารณาและเห็นชอบ วาระ 3.1 ความคืบหน้าการจัดทำข้อตกลงและการตราพระราชกฤษฎีกา ตามมาตรา 9 และมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ว่า ที่มาของวาระดังกล่าว สืบเนื่องจากบอร์ด สปสช. มีความมุ่งหวังให้คนไทยทุกคนทุกสิทธิ เข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็น โดยไม่มีอุปสรรคทางการเงิน และไม่ขัดต่อข้อกฎหมาย
จึงเห็นชอบให้ทำความชัดเจนประเด็นมาตรา 9 และ มาตรา 10 ถึงความครอบคลุมการดูแลประชากร โดยให้ปรึกษาคณะกรรมการกฤษฎีกา และเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ตามที่กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการเมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2565 ต่อมาเมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2566 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติในหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา 4 ฉบับ ในสิทธิบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอและให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ซึ่งภายหลังบอร์ด สปสช. ได้พิจารณาเพิ่มความครอบคลุมผู้ที่ไม่ใช่สิทธิบัตรทองอีก 6 กลุ่ม
ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้มีหนังสือลงวันที่ 19 มิ.ย. 2566 แจ้งว่า คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ได้พิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาทั้ง 4 ฉบับดังกล่าว โดยมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ชี้แจงรายละเอียดแล้ว โดยสรุปความได้ว่าร่างพระราชกฤษฎีกา 4 ฉบับ ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ทำให้คณะกรรมการกฤษฎีกาฯ ไม่สามารถตรวจพิจารณาต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่า ตามมาตรา 5 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ บัญญัติให้ "บุคคลทุกคน" มีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ ดังนั้น สปสช.จึงมีหน้าที่ต้องให้บริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐานแก่บุคคลทุกคนโดยเท่าเทียมกัน นอกจากนี้ตามมาตรา 18 (14) บัญญัติให้ บอร์ด สปสช. มีหน้าที่และอำนาจปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย โดยปรากฏข้อเท็จจริงว่า คณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2565 เห็นชอบวงเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ครอบคลุมการให้บริการสาธารณสุขแก่ "ประชากรไทยทุกคน" ไม่ได้ยกเว้นบุคคลตามมาตรา 9 และมาตรา 10
คณะกรรมการกฤษฎีกาฯ มีความเห็นว่า สปสช. จึงมีอำนาจในทางบริหารตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรี ตามมาตรา 5 ประกอบกับมาตรา 18 (14) ดังนั้น กรณีจึงเป็นการสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะได้มีมติให้กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตลอดจนองค์กร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ต่อไป เพื่อคุ้มครองสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของประชากรไทยทุกคน
นพ.จเด็จ กล่าวต่อว่า จากความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาฯ นี้ บอร์ด สปสช. ได้รับทราบ แล้ว อย่างไรก็ตามคงต้องรอมติจากคณะรัฐมนตรี ในการดำเนินการเพื่อให้บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคกับคนไทยทุกคนก่อน โดยในระหว่างนี้ สปสช.จะทำจัดทำร่างประกาศฯ หลักเกณฑ์การดำเนินงานและบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2566 เพื่อกำหนดการเบิกจ่ายสำหรับบริการสาธารณสุขด้านการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค และฟื้นฟูสมรรถภาพให้ครอบคลุมคนไทยทุกคน และเสนอให้ รมว.สาธารณสุข ลงนามต่อไป
โดยทันทีที่มีมติ ครม. ออกมารองรับ ตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาฯ และเมื่อร่างประกาศฯ มีผลบังคับใช้ สปสช.พร้อมที่จะดำเนินการทันที รวมถึงการบริหารจัดการงบประมาณในส่วนของบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคสำหรับคนไทยทุกคน ซึ่งขณะนี้มีหน่วยบริการที่ได้ให้บริการผู้ไม่ใช่สิทธิบัตรทองไปแล้ว และรอการเบิกจ่ายอยู่ประมาณกว่า 2 พันล้านบาท
“ส่วนที่เกรงว่าขณะนี้ใกล้ 30 กันยายน สิ้นปีงบประมาณ 2566 จะทำให้เงินก้อนนี้ตกไปนั้น ตามระเบียบสำนักงบประมาณกำหนดให้ กรณีที่ไม่สามารถใช้เงินงบประมาณได้ทัน ในช่วง 1 ปี เป็นอำนาจของเลขาธิการฯ ในการขอกันเงินงบประมาณที่เหลืออยู่ไปใช้ต่อได้ อย่างไรก็ตามต้องชี้แจงว่า สปสช.มีแผนในการใช้งบประมาณที่ชัดเจนอยู่แล้ว จึงไม่เป็นปัญหาและขอให้มั่นใจได้” เลขาธิการ สปสช. กล่าว (ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ภาคปชช.จี้กฤษฎีกาเร่งดันพรฎ.งบส่งเสริมและป้องกันโรคสำหรับคนทุกสิทธิโดยเร็ว)
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี