โพลเผยแม้รายจ่ายดูแลบุพการีปี’66มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ลูกส่วนใหญ่ยังพร้อมดูแล-ไม่มองเป็นภาระ
8 ส.ค. 2566 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แถลงข่าวเรื่อง “ทัศนคติและพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนเกี่ยวกับวันแม่” โดย นายวาทิตร รักษ์ธรรม ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยว่า ม.หอการค้าไทย ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศจำนวน 1,250 คน ระหว่างวันที่ 2-5 ส.ค. 2566 แบ่งตามเพศ เป็นชายร้อยละ 46.2 หญิงร้อยละ 53.8 แบ่งตามช่วงอายุ เป็นอายุต่ำกว่า 20 ปี ร้อยละ 13.4 อายุ 20-30 ปี ร้อยละ 16.3 อายุ 31-40 ปี ร้อยละ 17.1 อายุ 41-50 ปี ร้อยละ 23.8 อายุ 51-60 ปี ร้อยละ 16.6 และอายุมากกว่า 60 ปี ร้อยละ 18.2 ,
แบ่งตามระดับรายได้ ต่ำกว่า 5,000 บาท ร้อยละ 7.4 ตั้งแต่ 5,000-10,000 บาท ร้อยละ 12.2 ตั้งแต่ 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 20.5 ตั้งแต่ 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 27.8 ตั้งแต่ 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 18.6 และมากกว่า 40,001 บาทขึ้นไป ร้อยละ 13.4 , แบ่งตามกลุ่มอาชีพ อาชีพอิสระ ร้อยละ 11.9 บุคลากรภาครัฐ (ราชการ-รัฐวิสาหกิจ) ร้อยละ 11.9 พนักงานเอกชน ร้อยละ 16.8 รับจ้างรายวัน ร้อยละ 16.2 ธุรกิจส่วนตัว (มีลูกจ้าง) ร้อยละ 11.2 ธุรกิจส่วนตัว (ไม่มีลูกจ้าง) ร้อยละ 17.6 นักเรียน/นักศึกษา ร้อยละ 8.9 และอื่นๆ (เกษียณ ไม่ได้ทำงาน) ร้อยละ 5.3 ,
แบ่งตามภูมิภาค ภาคเหนือ ร้อยละ 10.1 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 26.4 กรุงเทพฯ-ปริมณพล ร้อยละ 23.6 ภาคกลาง ร้อยละ 27 และภาคใต้ ร้อยละ 12.9 โดยพบว่า 1.กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 61 มีลูกแล้ว และร้อยละ 39 ยังไม่มีลูก โดยในจำนวนนี้ มีลูก 1 คน มากที่สุด ร้อยละ 55.7 รองลงมา 2 คน ร้อยละ 36.4 3 คน ร้อยละ 7.8 และ 4 คน ร้อยละ 0.1 กล่าวโดยสรุปแล้ว ครัวเรือนไทยกลุ่มตัวอย่างมีลูกเฉลี่ย 2 คน
2.กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 73.1 อาศัยอยู่กับลูก ส่วนอีกร้อยละ 26.9 ไม่ได้อาศัยอยู่กับลูก โดยสาเหตุหลักอันดับ 1 ต้องออกไม่ทำงานจนไม่มีเวลาดูแล ร้อยละ 43.9 รองลงมา ต้องไปทำงานต่างพื้นที่ ร้อยละ 25.6 อันดับ 3 ลูกนั้นแต่งงานไปแล้ว ร้อยละ 17 อันดับ 4 สถาบันการศึกษาที่ลูกไปเรียนนั้นอยู่กันคนละพื้นที่ ร้อยละ 8.1 อันดับ 5 ครอบครัวหย่าร้าง ร้อยละ 3.6 และอื่นๆ อีกร้อยละ 1.8
3.กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 68.2 ยังติดต่อสื่อสารกับลูกทุกวัน รองลงมา ร้อยละ 13.3 ติดต่อ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ อันดับ 3 นานๆ ครั้ง ร้อยละ 11.5 อันดับ 4 3-4 ครั้งต่อเดือน ร้อยละ 5.6 มีเพียงร้อยละ 1.4 เท่านั้นที่ระบุว่าไม่ได้ติดต่อกันเลย ทั้งนี้ เมื่อถามถึงวิธีการที่ใช้ติดต่อสื่อสารกับลูก กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 76.5 สนทนาแบบเห็นหน้า ร้อยละ 14.7 พูดคุยด้วยเสียง (เช่น การโทรศัพท์) และร้อยละ 8.8 สื่อสารผ่านข้อความ (แชท) อนึ่ง “ไลน์ (Line)” เป็นแอปพลิเคชั่นยอดนิยมในการสื่อสาร โดยมีกลุ่มตัวอย่างถึงร้อยละ 63.3 หรือเกือบ 2 ใน 3 ที่ใช้แอปฯ นี้
4.กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 77 อาศัยอยู่กับแม่ ในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ ร้อยละ 50.4 ให้เหตุผลว่า เป็นครอบครัวเล็ก รองลงมา ร้อยละ 48.6 ลูกต้องการดูแลแม่ และร้อยละ 1 เป็นครอบครัวใหญ่หรือแม่ก็ช่วยเลี้ยงลูก (หลาน-ลูกของลูก) ด้วย ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างอีกร้อยละ 23 ที่ไม่ได้อาศัยอยู่กับแม่ ให้เหตุผลดังนี้ อันดับ 1 ต้องออกไปทำงานต่างพื้นที่ ร้อยละ 45.8 อันดับ 2 แม่อยู่กับญาติพี่น้อง ร้อยละ 21.2 อันดับ 3 ตนเองแต่งงานแล้วจึงแยกออกมา ร้อยละ 19.5 และอันดับ 4 สถาบันการศึกษาที่ตนเองเรียนนั้นอยู่คนละพื้นที่ ร้อยละ 13.6
5.กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 37.4 ยอมรับว่าติดต่อสื่อสารกับแม่เพียงนานๆ ครั้ง รองลงมา ร้อยละ 24.3 ติดต่อ 3-4 ครั้งต่อเดือน อันดับ 3 ร้อยละ 19.1 ติดต่อ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ อันดับ 4 ร้อยละ 15.7 ติดต่อทุกวัน และร้อยละ 3.5 ไม่ได้ติดต่อกันเลย ทั้งนี้ เมื่อถามถึงวิธีการที่ใช้ติดต่อสื่อสารกับลูก กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 59.1 พูดคุยด้วยเสียง (เช่น การโทรศัพท์) รองลงมา ร้อยละ 24.5 สนทนาแบบเห็นหน้า และร้อยละ 16.4 สื่อสารผ่านข้อความ (แชท) โดยไลน์ยังคงเป็นแอปฯ ยอดนิยมในการสื่อสารระหว่างแม่-ลูกในกลุ่มตัวอย่าง อยู่ที่ร้อยละ 53.4
6.ความกังวลของแม่ต่อลูก พบ 5 อันดับที่กลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นแม่เลือกตอบ อันดับ 1 สุขภาพกาย ร้อยละ 13.5 โดยแบ่งเป็นกังวลมาก ร้อยละ 60.8 ปานกลาง ร้อยละ 28.8 น้อย ร้อยละ 9.9 และร้อยละ 0.5 ไม่กังวลเลย อันดับ 2 หน้าที่การงานที่มั่นคง ร้อยละ 12.2 โดยแบ่งเป็นกังวลมาก ร้อยละ 40.6 ปานกลาง ร้อยละ 28.7 น้อย ร้อยละ 30.2 และร้อยละ 0.5 ไม่กังวลเลย อันดับ 3 การเรียน ร้อยละ 11.5 โดยแบ่งเป็นกังวลมาก ร้อยละ 45.9 ปานกลาง ร้อยละ 25.7 น้อย ร้อยละ 25.7 และร้อยละ 2.7 ไม่กังวลเลย
อันดับ 4 การคบเพื่อน ร้อยละ 8.9 โดยแบ่งเป็นกังวลมาก ร้อยละ 42.9 ปานกลาง ร้อยละ 28.2 น้อย ร้อยละ 27.8 และร้อยละ 1.1 ไม่กังวลเลย และอันดับ 5 สุขภาพจิต ร้อยละ 8.5 โดยแบ่งเป็นกังวลมาก ร้อยละ 62.8 ปานกลาง ร้อยละ 23.6 น้อย ร้อยละ 13.1 และร้อยละ 0.5 ไม่กังวลเลย ขณะที่ความคาดหวังของแม่ต่อลูก 5 อันดับแรก พบว่า อันดับ 1 อยากให้เป้นคนดี ร้อยละ 29.7 อันดับ 2 อยากให้เรียนเก่งๆ ร้อยละ 26 อันดับ 3 อยากให้ลูกรักแม่มากๆ ร้อยละ 11.1 อันดับ 4 อยากให้ลูกฟังเหตุผลของแม่ ร้อยละ 9.7 และอันดับ 5 อยากให้ลูกมีเวลาให้ ร้อยละ 8
7.ความกังวลของลูกต่อแม่ พบ 5 อันดับที่กลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นลูกเลือกตอบ อันดับ 1 สุขภาพกาย ร้อยละ 24.7 โดยแบ่งเป็นกังวลมาก ร้อยละ 67.8 ปานกลาง ร้อยละ 27 และน้อย ร้อยละ 5.2 อันดับ 2 การเกิดอุบัติเหตุ ร้อยละ 18.7 โดยแบ่งเป็นกังวลมาก ร้อยละ 47.4 ปานกลาง ร้อยละ 43.8 น้อย ร้อยละ 7.9 และร้อยละ 0.9 ไม่กังวลเลย อันดับ 3 ภาระค่าใช้จ่าย ร้อยละ 13.9 โดยแบ่งเป็นกังวลมาก ร้อยละ 38 ปานกลาง ร้อยละ 45.4 น้อย ร้อยละ 15.7 และร้อยละ 0.9 ไม่กังวลเลย
อันดับ 4 สุขภาพจิต/ความเครียด ร้อยละ 11.2 โดยแบ่งเป็นกังวลมาก ร้อยละ 36.1 ปานกลาง ร้อยละ 44.4 น้อย ร้อยละ 17.6 และร้อยละ 1.9 ไม่กังวลเลย และอันดับ 5 ช่วงเวลาในการพักผ่อนของแม่ ร้อยละ 8.9 โดยแบ่งเป็นกังวลมาก ร้อยละ 25 ปานกลาง ร้อยละ 43.5 น้อย ร้อยละ 27.8 และร้อยละ 3.7 ไม่กังวลเลย ขณะที่ความคาดหวังของลูกต่อแม่ 5 อันดับแรก พบว่า อันดับ 1 อยากให้แม่รักษาสุขภาพ ร้อยละ 17.9 อันดับ 2 อยากให้แม่เข้าใจสิ่งที่ลูกทำ ร้อยละ 17.1 อันดับ 3 อยากให้แม่ฟังเหตุผลของลูก ร้อยละ 13.7 อันดับ 4 อยากให้แม่กอด ร้อยละ 11.1 และอันดับ 5 อยากให้แม่รักมากๆ ร้อยละ 10.3
8.ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบุพการี พบว่า ในปี 2566 กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 67.2 ระบุว่าไม่เปลี่ยนแปลง รองลงมา ร้อยละ 24.4 เพิ่มขึ้น และร้อยละ 8.4 ลดลง ซึ่งเมื่อเทียบกับการสำรวจเมื่อปี 2565 ที่พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 73.4 ระบุว่าไม่เปลี่ยนแปลง รองลงมา ร้อยละ 14.9 ลดลง และร้อยละ 11.7 เพิ่มขึ้น ชี้ให้เห็นว่า ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับบุพการีในครัวเรือนไทยในปี 2566 เพิ่มสูงขึ้นกว่าปีก่อนหน้า ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 67.4 มีค่าใช้จ่ายในการดูแลบุพการี ต่ำกว่า 5,000 บาท รองลงมา ร้อยละ 31.4 อยู่ที่ 5,000-10,000 บาท และมีบุพการีต้องดูแล 1-2 คน
“ทัศนคติของการดูแลบุพการี ก็คือดูความเต็มใจ ดุว่าเป็นหรือไม่เป็นภาระ โดยส่วนใหญ่ค่าเฉลี่ย 6.7 คะแนน มองว่ามีความเต็มใจอย่างยิ่งที่จะดูแลตัวบุพการีของเขา โดยกลุ่มที่มองว่ามีค่าเฉลี่ยสูงกว่า 6.7 ก็คือกลุ่มที่มีรายได้มากกว่า 3 หมื่นบาทขึ้นไป และอยู่ในภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะที่การเป็นภาระ เพราะโดยส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มองว่าเป็นภาระ กลุ่มรายได้ประมาณที่ต่ำกว่า 5,000 บาท ก็จะมองว่าไมได้เป็นภาระมากนักสำหรับเขา รวมถึงกลุ่มที่มองว่าอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ ก็ไม่ได้มองว่ามันเป็นภาระในการต้องดูแลของเขา” นายวาทิตร กล่าว
นายวาทิตร กล่าวต่อไปว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 60.9 จะไปหาแม่ในช่วงวันแม่ ขณะที่อีกร้อยละ 39.1 จะไม่ไป โดย 5 อันดับกิจกรรมที่จะทำร่วมกันสำหรับกลุ่มที่จะไปหาแม่ อันดับ 1 พาแม่ไปรับประทานอาหาร ร้อยละ 65.7 อันดับ 2 ทำกิจกรรมร่วมกัน ร้อยละ 30.5 อันดับ 3 พาแม่ไปทำบุญ ร้อยละ 20.3 อันดับ 4 พาไปเที่ยวต่างจังหวัด (ค้างคืน) ร้อยละ 12.7 และอันดับ 5 พาแม่ไปทำกิจกรรมอื่นๆ นอกบ้าน ร้อยละ 9.3
อนึ่ง แม้ประเภทกิจกรรมจะไม่ต่างจากปี 2565 แต่มีกิจกรรมที่มีรายจ่ายลดลง คือการพาแม่ไปทำบุญ โดยปี 2565 อยู่ที่ 1,541.80 บาท แต่ในปี 2566 จะอยู่ที่ 1,448 บาท ลดลงร้อยละ 12.1 ในทางกลับกัน การพาแม่ไปรับประทานอาหารกลับพบค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น โดยปี 2565 อยู่ที่ 1,880.85 บาท แต่ในปี 2566 จะอยู่ที่ 1,972.10 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 เช่นเดียวกับการพาไปเที่ยวต่างจังหวัด (ค้างคืน) โดยปี 2565 อยู่ที่ 10,844.44 บาท แต่ในปี 2566 จะอยู่ที่ 11,386.7 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5
ส่วนของขวัญยอดนิยมที่ลูกจะให้แม่ 5 อันดับแรก อันดับ 1 พวงมาลัย/ดอกไม้ ร้อยละ 21.6 รองลงมาแต่ใกล้เคียงกัน เงินสดหรือทอง ร้อยละ 21.2 อันดับ 3 เครื่องนุ่งห่ม ร้อยละ 14.6 อันดับ 4 เครื่องดื่มบำรุงร่างกาย ร้อยละ 12.6 และอันดับ 5 เครื่องใช้ไฟฟ้า ร้อยละ 10.4 อย่างไรก็ตาม จำนวนเงินในการใช้จ่ายด้านนี้ 5 อันดับแรกมีทั้งที่ลดลง เช่น ในการให้เงินสด/ทอง ปี 2565 อยู่ที่ 2,848.21 บาท แต่ในปี 2566 จะอยู่ที่ 2,804 บาท ลดลงร้อยละ 3.6
การให้พวงมาลัย/ดอกไม้ ปี 2565 อยู่ที่ 190.84 บาท แต่ในปี 2566 จะอยู่ที่ 190 บาท ลดลงร้อยละ 1.3 และการให้เครื่องนุ่งห่ม ปี 2565 อยู่ที่ 1,798.70 บาท แต่ในปี 2566 จะอยู่ที่ 1,611.63 บาท ลดลงร้อยละ 3.7 และที่เพิ่มขึ้น เช่น การให้เครื่องดื่มบำรุงร่างกาย ปี 2565 อยู่ที่ 1,136.63 บาท แต่ในปี 2566 จะอยู่ที่ 1,566.70 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 และการให้เครื่องใช้ไฟฟ้า ปี 2565 อยู่ที่ 4,008.33 บาท แต่ในปี 2566 จะอยู่ที่ 5,150.50 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.8
“สำหรับงบประมาณการใช้จ่ายในช่วงวันแม่เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร โดยส่วนใหญ่ประมาณ 42.7% มองว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงกับปีที่ผ่านมา แล้วก็ประมาณอีก 30.6% ใช้งบประมาณลดลง โดยมีสาเหตุคือประหยัดมากขึ้น 26% มีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 20% เป็นหนี้มากขึ้นประมาณ 19% ขณะที่กลุ่มที่บอกว่าใช้งบประมาณเพิ่มขึ้น ก็คือประมาณ 20% ก็มองว่าเป็นวันพิเศษ คาดว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น แล้วก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น” นายวาทิตร ระบุ
ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย ยังกล่าวอีกว่า ในช่วงเทศกาลวันแม่ประจำปี 2566 คาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดประมาณ 10,632.57 ล้านบาท โดยเม็ดเงินสะพัดดังกล่าวจะแบ่งเป็นกิจกรรมการท่องเที่ยว 740.07 ล้านบาท และกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับวันแม่ 9,892.50 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเม็ดเงินสะพัดในเทศกาลวันแม่ ปี 2566 ลดลงร้อยละ 2.3 เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีเม็ดเงินสะพัด 10,883.32 ล้านบาท แต่ยังถือว่าลดลงเพียงเล็กน้อย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี