‘ฝีดาษลิง’ป่วยพุ่ง
7 วันติดเชื้อ 42 คน
เตือน 5 สัมผัสเสี่ยง
เช็คดูอาการด่วน
กรมควบคุมโรคห่วงฝีดาษลิงป่วยเพิ่มต่อเนื่อง รอบ 7 วัน เจอ 42 คน ส่วนใหญ่เป็นชายรักชาย มี 3 รายเป็นไบเซ็กส์ชัวล์ ประวัติเสี่ยงมีเพศสัมพันธ์กับคนไม่รู้จัก เตือน 5 ข้อสัมผัสเสี่ยงสูง ให้เช็คอาการด่วน
เมื่อวันที่ 21กันยายน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า สถานการณ์ล่าสุดของโรคฝีดาษวานรในประเทศไทย ข้อมูลสะสมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-18 กันยายน มีรายงานพบผู้ป่วยรวม 385 ราย เสียชีวิต 1 ราย ที่เป็นผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง และสัปดาห์นี้พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา 42 ราย เพศชาย 41 ราย เพศหญิง 1 ราย แบ่งเป็นสัญชาติไทย 38 ราย คิดเป็นร้อยละ 90.5 เมียนมา 2 ราย จีน 1 ราย อิตาลี 1 ราย ผู้ป่วยรายใหม่ที่พบเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ร่วมด้วย 29 ราย คิดเป็นร้อยละ 69 ของผู้ป่วยใหม่ทั้งหมด และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชายรักชาย 33 ราย Bisexual 3 ราย ชายรักหญิง 3 ราย ไม่ระบุ 3 ราย และผู้ป่วยใหม่ 17 ราย คิดเป็นร้อยละ 40.5 มีประวัติเสี่ยงมีเพศสัมพันธ์กับคนไม่รู้จัก
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่มีประวัติเสี่ยงสัมผัสใกล้ชิด หรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วยสงสัยฝีดาษวานร ได้แก่ 1.มีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วย
2.ทำความสะอาดห้องหรือใช้ห้องน้ำร่วมกับผู้ป่วยขณะผู้ป่วยมีอาการ 3.เป็นผู้ดูแลผู้ป่วยสงสัยหรือผู้ป่วยฝีดาษวานรขณะป่วย 4.พูดคุยกับผู้ป่วยในระยะ 1 เมตร โดยไม่สวมหน้ากากอนามัยในสถานที่ปิด และ5.นั่งชิดติดกับผู้ป่วยสงสัยหรือผู้ป่วยฝีดาษวานร โดนไอจามรด โดยไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย
“หากมีประวัติดังกล่าว ให้สังเกตอาการตนเองหลังสัมผัสผู้ป่วยภายใน 21 วัน หากมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณหลังหู คอ ขาหนีบ หรือมีอาการเจ็บคอ คัดจมูก ไอ มีผื่น ตุ่มน้ำ ตุ่มหนองขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนักหรือบริเวณรอบๆ รวมถึงมีผื่น ตุ่มน้ำ ตุ่มหนองขึ้นตามมือ เท้า หน้าอก ใบหน้า บริเวณปาก หรือ อวัยวะเพศและรอบทวารหนัก ให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษา พร้อมแยกตัวออกจากสมาชิกในครอบครัว ที่พักหรือสถานที่ทำงาน” นพ.โสภณ กล่าวและย้ำว่า โรคฝีดาษวานรป้องกันได้ โดยงดเพศสัมพันธ์กับคนไม่รู้จัก ไม่สัมผัสแนบเนื้อกับผู้ที่มีผื่น ตุ่มหรือหนอง แนะนำให้ล้างมือบ่อยๆ ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น และให้หน่วยงานสาธารณสุขทุกจังหวัดร่วมกันเฝ้าระวังติดตามกลุ่มเสี่ยง พร้อมทั้งสื่อสารวิธีป้องกันการแพร่เชื้อ สอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422