“เพราะโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้ทันและให้อยู่รอด” มูลนิธิเอสซีจี จึงได้ร่วมกับ บริษัท วู้ดดี้ เวิลด์ Best Survivor Awards จัดแคมเปญ Gen Will Survive และกิจกรรม “Best Survivor Awards” เฟ้นหาสุดยอดคนรุ่นใหม่ที่มี Hard skill และ Soft skill ในการเอาตัวรอด และเรื่องราวของเขาสามารถเป็นแรงบันดาลใจที่จะส่งต่อให้กับทุกๆ คนได้ ซึ่ง Best SurvivorAwards ได้รับการตอบรับอย่างเกินคาดเพราะเป็นครั้งแรกที่เปิดให้คน Gen Zได้เปิดอกแชร์เรื่องราวของตนเองสู่สาธารณะ
มีผู้สนใจส่งผลงานเข้าร่วมเกือบ 500 คน และมีคณะกรรมการาคัดเลือกอย่างเข้มข้น นำโดย ผศ.ดร.วิรุจกิจนันทวิวัฒน์ ประธานสาขาวิชาธุรกิจและอาชีวศึกษา ภาควิชานโยบายการจัดการและความเป็นผู้นำทางการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมด้วย ณัฏฐ์อาภาผ่องทิพาภรณ์ ผู้สื่อข่าวและ Content Creator สำนักข่าวสปริงนิวส์ รวมถึง เอแคลร์ จือปาก และ MonsterFon ร่วมกันพิจารณาตัดสินรางวัล
โดยพิจารณาจากเรื่องราวน่าประทับใจ และเป็นแบบอย่างที่ดีมีความตรงโจทย์ ชัดเจน น่าสนใจ และแสดงให้เห็นถึงการนำทักษะ ทั้ง Hard skill และ Soft skill มาปรับใช้ให้ชีวิตดีขึ้น สำหรับผลการตัดสินรางวัล Best Survivor Awards ครั้งแรกของประเทศไทยนั้น “รางวัลชนะเลิศ” คือ นายสุรพรชัย ธรรมศิริ นักศึกษาสาขากายอุปกรณ์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับเงินรางวัลมูลค่า 100,000 บาท
“รองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่น.ส.เพ็ญนภา สิงห์สนั่น คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง” ได้รับเงินรางวัล 50,000 บาท เอสซีจีและ “รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 คือ น.ส.อรนรินทร์ ศิริปุลินพงศ์ ชั้นปี 3 คณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการและการเป็นผู้ประกอบการนวัตกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง” ได้รับรับเงินรางวัลมูลค่า 30,000 บาทนอกจากนี้ ยังมีรางวัลชมเชยอีก5 รางวัล รับเงินรางวัลละ 3,000 บาทพร้อมประกาศนียบัตรจากมูลนิธิเอสซีจี
ผศ.ดร.วิรุจ ในฐานะประธานคณะกรรมการตัดสิน กล่าวว่า ชิ้นงานที่ส่งเข้ามา ต่างมีจุดเด่นที่ดีและแตกต่างกัน แสดงให้เห็นถึงการใช้ทักษะในการเอาตัวรอดในศตวรรษนี้ดีมากๆ ทำให้ตัดสินได้ยาก แต่เมื่อพิจารณาจากเกณฑ์การตัดสิน พบว่าผู้ที่ได้รางวัลชนะเลิศมีแรงบันดาลใจที่ดี มีการตั้งเป้าหมายในชีวิต และมีการลงมือทำที่แม้ว่าระหว่างทางจะมีอุปสรรคปัญหาแต่ก็ไม่ได้ย่อท้อ
“นอกจากนี้สิ่งที่เขาทำ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเพียงฝ่ายเดียว แต่ยังทำเพื่อผู้อื่น และก็ไม่ได้ทำในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ทำมาตั้งแต่เป็นนักเรียน และเป็นแรงบันดาลใจให้ต่อยอดมาจนถึงเป็นนักศึกษา เรื่องราวของผู้ชนะ เหมาะสมที่จะส่งต่อให้ผู้อื่นได้มีโอกาส มีกำลังใจ ลงมือทำโดยไม่ย่อท้อเพื่อให้ประสบความสำเร็จได้” ผศ.ดร.วิรุจ กล่าว
ด้านนายสุรพรชัย ผู้คว้ารางวัลชนะเลิศ กล่าวว่า ตนมีความมุ่งมั่นอยากช่วยเหลือคนอื่นโดยเฉพาะคนพิการ เมื่อมีโอกาสได้พบกับเด็กออทิสติกที่กล้ามเนื้อบริเวณข้อมือมีปัญหา ไม่สามารถจับดินสอเหมือนเด็กคนอื่นได้ จึงได้นำความสนใจที่มีอยู่ผนวกเข้ากับปัญหาที่พบมา เพื่อจะแก้ปัญหาตรงนี้จนกลายเป็นบอร์ดฝึกเขียนสำหรับเด็กออทิสติกที่จะช่วยให้เด็กออทิสติกสามารถเรียนรู้ร่วมกับเด็กปกติได้ ทั้งนี้ ตนเปรียบชีวิตของตนเองกับรองเท้าบู๊ท
โดยรองเท้าบู๊ทข้างแรกคือการรู้จักตัวเอง ที่จะต้องมีสติพร้อมเผชิญกับสิ่งที่ต้องพบเจอและพร้อมที่จะปรับตัวกับสิ่งที่จะพบเจอในอนาคตเพื่อให้อยู่รอดได้ ซึ่งในวันนี้ได้ค้นหาตนเองเจอแล้ว จากความชอบความสนใจที่มีอยู่มาลงตัวที่สาขาที่เลือกเรียน ในปัจจุบันที่เกี่ยวกับการผลิตแขน-ขาเทียมเพื่อผู้พิการ ที่จะสานต่อความชอบและความฝันให้เป็นจริงในอนาคต ส่วนรองเท้าบู๊ทอีกข้าง คือ การวางแผนเพื่ออนาคต ซึ่งเป้าหมายขอตนคือ “การได้มีโอกาสไปเรียนต่อด้านกายอุปกรณ์ที่ประเทศญี่ปุ่น” นำเทคนิคต่างๆ กลับมาพัฒนาต่อ เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตคนพิการดีขึ้น
“การรู้จักตัวเอง รู้ความชอบ ความถนัดของตัวเอง เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าได้ทำในสิ่งที่ชอบ 100% เราจะมีความสุขในการทำงาน ต้องถามตัวเองว่าสิ่งที่เราทำตอนนี้ เพราะคนอื่นต้องการ คนรอบข้างต้องการ หรือเราต้องการให้เป็นแบบนี้จริงๆ เราลองลดความคาดหวังและเอาความคาดหวังมาเป็นแรงผลักดันให้ตัวเองได้ทำในสิ่งที่ต้องการจริงๆ ดีกว่า” นายสุรพรชัย กล่าว
สำหรับผู้ได้รับรางวัลรองชนะเลิศทั้งสองคน ก็ไม่ต่างกัน ตรงที่ไม่เคยปฏิเสธการเรียนรู้ สิ่งใหม่ๆ รวมถึงการมองหาโอกาสใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น และยังมีความมุมานะพยายาม สามารถนำความชอบ มาสู่อาชีพได้ และปรับตัว ให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนต่างมีรายได้เลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้ ตั้งแต่ยังไม่จบการศึกษา โดย น.ส.เพ็ญนภา ที่เริ่มจากการขายของออนไลน์ก่อนจะผันตัวมาเป็นนักออกแบบกราฟิก และ น.ส.อรนรินทร์ ที่ไปได้ดีจากการไลฟ์ขายของออนไลน์จนสามารถทำรายได้หลักแสน ก่อนจะมีความฝันที่อยากเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าที่ตั้งเป้าว่าแบรนด์ของเธอจะเป็นแบรนด์ในใจของทุกคน
โลกปัจจุบันที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา คนที่ปรับตัวได้เร็ว และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงนั้นได้เท่านั้น ที่จะอยู่รอดได้ในโลกใบนี้ มูลนิธิเอสซีจีจึงได้ให้ความสำคัญกับการเรียนรูเพื่ออยู่รอด “Learn to Earn” และการพัฒนาทักษะเพื่อเป็นอาวุธให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ พร้อมออกไปใช้ชีวิตให้อยู่รอดได้ เลี้ยงดูตนเองได้ดูแลครอบครัวได้ และพร้อมส่งต่อโอกาสให้กับคนอื่นๆ ในสังคมต่อไป
สามารถติดตามความคืบหน้าและติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิเอสซีจี ได้ที่ www.scgfoundation.org และเฟซบุ๊ก LEARNtoEARN และ Tiktok LEARNtoEARN