มติก.ตร.ฉลย-นายกฯงดออกเสียง
‘ต่อศักดิ์’ผงาดผบ.ตร.
‘บิ๊กโจ๊ก’ฮึ่ม‘ตร.’ตายยกรัง
อ้างกุมข้อมูลเด็ดเอาไว้มาก
ปักหลักโต้คดีโดนค้นบ้าน
ยอมรับให้เงินนักข่าวจริง
“บิ๊กโจ๊ก”เขย่าขวัญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุมีข้อมูลมากหากเปิดขึ้นมาก็ตายกันหมด ยันบริสุทธิ์ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเว็บพนัน ยอมรับให้เงินนักข่าวเป็นค่าตอบแทนออกไปทำข่าวไม่ใช่สินบน “ทนายอนันต์ชัย”ขู่ทยอยฟ้องสื่อกราวรูดพาดพิง
‘บิ๊กโจ๊ก’สั่งทีมมอนิเตอร์ข่าวทุกสำนัก ขณะที่ นายกฯเศรษฐา นั่งหัวโต๊ะที่ประชุม ก.ตร.ครั้งแรก มีมติ แต่งตั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. อาวุโสอันดับ 4 เป็น ผบ.ตร.คนใหม่
เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2566 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร.ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการเจาะลึกทั่วไทย อินไซต์ไทยแลนด์ ทางสถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 อสมท. กรณีตำรวจไซเบอร์การบุกค้นบ้านพัก ในซอยวิภาวดี 60 และมีลูกน้องนายตำรวจ 8 นายเชื่อมโยงกับเว็บไซต์พนันออนไลน์ ว่า เงินที่ให้ลูกน้องช่วยทำงานโดยเฉลี่ย1-2 ล้านต่อเดือน โดยเงินจำนวนนี้นอกเหนือจากงบราชการลับครั้งละ 6 แสน ที่ผบ.ตร.นำมาให้ ซึ่งเงินทั้งหมดถูกต้องตามกฎหมาย เป็นเงินของภรรยา และเงินที่บ้านของตน ถ้าดูเส้นเงินของมินนี่ ที่บอกว่าโอนเข้ามาตรงกับค่าใช้จ่ายของตน ประมาณ 3 ล้านกว่า ถามว่าจะรับเงินจากเว็บพนันที่ไหน 3 ล้านกว่า เขารับกันเป็น 100 ล้าน
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า หลังจากพ่อตาตนเสีย เงินมรดกที่ยังไม่ได้แบ่งก็เกือบพันล้านแล้ว เมื่อพ่อตาเสียชีวิต แม่ยายตนก็เป็นผู้จัดการมรดก เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มีคนมาซื้อที่ดินร้อยกว่าล้าน วันนี้ตนกับภรรยา ตั้งใจทำอะไรก็ได้ที่จะทำบุญให้ประชาชน ตนเลี้ยงลูกน้อง ไม่ใช่ให้ลูกน้องมาเลี้ยงตน
ส่วนมีคำขู่จะเช็คบิลไปที่ภรรยา และแม่ เพราะมีเส้นทางการเงินไปถึงนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ไม่มีปัญหา ตอนนี้เขาเห็นเส้นเงินแล้วว่าเงินจากเว็บพนันมี 3 ล้าน แต่เงินตนมีอยู่ 20 ล้าน ส่วนภรรยาตนจะมีเงินไปถึงมินนี่ยังไง ลูกน้องตนก็ต้องอธิบาย ถ้าเงินตนได้มาถูกต้องมันก็จบ แต่ถ้าไม่ถูกต้องก็ต้องมาตรวจสอบ
จะเรียกสอบก็ต้องให้ปากคำ
เมื่อถามว่า หากมีการเชิญแม่ไปสอบปากคำจะทำอย่างไร พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ตอบว่าก็ต้องไปสอบปากคำ ตนอาจจะให้ไปสอบที่บ้าน เพราะแม่ตนมาไม่ไหว และอาจจะให้หมอไปอยู่ด้วย เพราะแม่อาจจะไม่ไหว อายุมากแล้ว ทุกวันนี้ตนก็ต้องทำแบบนี้ต้องทำเพื่อศักดิ์ศรีของตัวเองและลูกน้อง แต่ต้องแยกให้ออกว่าลูกน้องคนไหนไปพัวพัน
ถามว่าบ้านทาวโฮมของเฮียแต๋มที่โดนค้นมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ปกติตนอยู่แฟลตตำรวจจนเป็นนายพล แต่พอเราเป็นผู้การ งานเราเยอะขึ้น แต่ตนก็ไม่ได้ไปสร้างบ้าน ตนสนิทกับเฮียแต๋ม รู้จักกันมากว่า 20 ปี ซึ่งนับถือกันเป็นญาติ ก่อนจะออกจากแฟลตตำรวจ ตนก็ถามเฮียแต๋มว่ามีบ้านตรงไหนบ้าง เฮียแต๋มก็บอกว่ามีบ้านหลังดังกล่าว ตนก็เลยมาอยู่ โดยเช่า 2 หลัง และอีก 2 หลังว่างอยู่ก็เลยให้ลูกน้องไปอยู่ เฮียแต๋มเขาทำธุรกิจถูกกฎหมาย ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการพนัน ตนก็บอกให้เฮียแต๋มตั้งโต๊ะแถลงเลย ซึ่งกำลังประสานงานให้แถลงข่าว
กุมข้อมูลเด็ด/สตช.ตายยกรัง
เมื่อถามอีกว่า รู้มาก่อนหรือไม่ว่าพ.ต.อ.ภาคภูมิ ไปยุ่งกับมินนี่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตนไม่รู้มาก่อน ซึ่งพ.ต.อ.ภาคภูมิ พิสมัย เป็นคนทำงานดี ซึ่งไปทำงานเป็นผู้กำกับอยู่จ.เลย เขาเลยรู้จักกัน ส่วนตนโดนย้ายไปอยู่สำนักนายกรัฐมนตรี ตนเพิ่งถามเขาก็บอกว่ารู้จักกันที่จ.เลย แต่จะลึกซึ้งกันอย่างไรตนไม่รู้
“ผมไม่เอาคืนหรอก แต่ข้อมูลผมมีมาก ผมเปิดเมื่อไรก็ตายกันหมดทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ยังไม่ขอบอก ผมไม่เอาคืน แต่ข้อมูลมีเยอะ ผมทำตรงไปตรงมาทุกคดี แต่เส้นทางการเงินมันพันกับหลายคน มันไม่ใช่ขี้ไก่แบบของผม เจ้าพ่อเว็บพนันไม่มีใครรู้จักผม และเขากลัวผมหมด ไอ้ที่ทำกับแบบนี้ทำก็ทำได้ แต่ผมยังรักษาองค์กรเอาไว้อยู่” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวเมื่อถามว่าตกลงจะเอาคืนหรือไม่
ขอลาไปทำสมาธิ1วัน
ที่สโมสรตำรวจ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ให้สัมภาษณ์กรณีที่ถูกตำรวจไซเบอร์บุกค้นบ้าน ว่า ในวันที่ 27 กันยายน จะลา 1วันเพื่อไปขอทำสมาธิจัดการเรื่องนี้ และในวันที่ 27ก็ไม่ได้เข้าประชุม ก.ตร.แต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่เนื่องจากเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งนี้ มองว่าผบ.ตร.คนต่อไปต้องมีคุณสมบัติ ต้องสร้างศรัทธาให้ประชาชนและดูแลขวัญกำลังใจตำรวจ และการที่ตนจะเป็นผบ.ตร.หรือไม่ได้เป็น ไม่ใช่ตัวชี้วัด แต่การที่ทำอยู่วันนี้ ทำดีแล้วหรือยัง วันนี้พยายามทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นความศรัทธาเท่านั้น
การจะไปยื่นคำร้องที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ เพื่อขอให้ไต่สวนทางละเมิดกรณีการขอหมายจับของชุดจับกุม เพื่อขอความเป็นธรรม เพราะจะต้องเรียกร้องความเป็นธรรมให้ตนเองด้วย มั่นใจว่าทุกที่ให้ความเป็นธรรม ไม่มีอะไรที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมหรอก ทำแบบนี้ทำตรงๆ ชี้แจงให้ชัดเจนเหมือนที่ตนแจงต่อสื่อมวลชน ตนก็ไม่อยากบอกว่าใช้เงินทำงานเท่าไหร่ แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องพูด
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวทิ้งท้าย ว่าตนไม่ได้มีความกังวลใดๆ เพราะเชื่อว่าฟ้ามีตาความจริงต้องปรากฏพร้อมชี้แจงได้ทุกประเด็น ขณะเดียวกันก็กล่าวขอบคุณตัวแทนพี่น้องสมาคมชาวปักษ์ใต้ที่เดินทางมาให้กำลังใจ และขอสัญญากับประชาชนว่าจะไม่ทำให้ ศรัทธาของพี่น้องประชาชนสิ้นไป
ส่งทนายไต่สวนปมตร.ค้นบ้าน
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังเผยว่าวันนี้ตนได้มอบหมายให้ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช หรือ ทนายกระดูกเหล็ก ดำเนินการยื่นคำร้องขอศาลไต่สวนการละเมิดอำนาจของศาลในการขอออกหมายจับและการขอออกหมายค้นของชุดปฏิบัติการกรณีเมื่อวันที่25ก.ย.ที่ผ่านมา โดยแยกเป็น 2 ส่วน คือ ยื่นคำร้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ เรื่องการออกหมายนายตำรวจทั้ง 8 นาย เพราะพบว่าไม่มีการระบุยศหรือตำแหน่งของนายตำรวจ โดยถ้าหากมีการระบุต่อศาลให้ละเอียด ศาลจะไม่มีการอนุมัติหมายจับ แต่จะต้องออกหมายเรียกก่อน อีกทั้ง ในการขอออกหมายจับนั้น ชุดปฏิบัติการดังกล่าวยังมัดรวมกับพลเรือนอีก 15 ราย อย่างไรก็ต้องไปขอหมายเรียกหรือหมายจับที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เพราะมีเจ้าหน้าที่ของรัฐรวมอยู่ในนั้น
ปกปิดข้อเท็จจริงต่อศาล
การขอหมายจับที่ผ่านมา ถือเป็นการสอดไส้ เป็นการหลอกศาลอาญากรุงเทพใต้และยังหลอกศาลอาญารัชดาภิเษกอีกด้วย เพราะหมายค้นที่มีการเข้าค้นบ้านตนย่านวิภาวดีรังสิตนั้น ชุดดำเนินการได้ไปขอหมายค้นจากศาลอาญารัชดา โดยไม่แจ้งศาลว่าเป็นที่พักของรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยอ้างว่าเจ้าของบ้านทั้ง 5 หลังดังกล่าว มีพลเรือนเป็นเจ้าของ ซึ่งตนยอมรับว่าบ้านทั้ง 5 หลังนี้ชื่อของเฮียแต๋ม เป็นเจ้าของจริง
แต่สิ่งที่ตนได้ตั้งข้อสงสัย คือ การออกหมายจับนายตำรวจติดตามตัวเอง หรือ พ.ต.ต.ชานนท์ อ่วมทร ทราบว่ามีการออกหมายตับตั้งแต่วันศุกร์ที่ 22 ก.ย. และมีการออกหมายค้นในวันอาทิตย์ที่ 24ก.ย.ซึ่งสารวัตรนนท์ไม่ได้นอนพักที่บ้านในหมู่บ้านดังกล่าวแต่อย่างใด เจ้าตัวพักอยู่แฟลตตำรวจพญาไท ดังนั้น ทำไมชุดจับกุม ไม่เข้าจับกุมสารวัตรนนท์ ตั้งแต่วันศุกร์และวันเสาร์ที่ผ่านมา แต่ดำเนินการมาจับที่หน้าบ้านพักของตนในวันที่ 25ก.ย.แทน
“ผมจึงมองว่าเป็นลักษณะการแบ่งงานกันทำ มีพฤติการณ์ร่วมกันปกปิดข้อเท็จจริงต่อศาล จากการขอหมายค้นและหมายจับดังกล่าว ถ้าเรามีอำนาจสอบสวนแล้วทำแบบนี้ ต่อไปตำรวจจะทำงานยากขึ้น การทำแบบนี้นั้น งานสืบสวนจะเหนื่อยขึ้น เพราะศาลจะตรวจละเอียดขึ้น อนุมัติหมายจับ หรือหมายค้นยากขึ้น เพราะในกรณีนี้มีการหลอกศาล”พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ย้ำ
แจงยิบสัมพันธ์ลึกปม‘เฮียแต๋ม’
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องเฮียแต๋ม ตนกับเขาและครอบครัว รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยตนเป็นสารวัตร เป็นความสัมพันธ์แบบญาติผู้ใหญ่ แต่ก่อนตนอยู่แฟลตตำรวจ จนมาเป็นผู้การ 191 ดูแล้วไม่ไหว งานเยอะ ลูกน้องเยอะขึ้นเลยจะออกมาอยู่บ้านแทน แต่บ้านยังไม่ทัน สร้างเสร็จ โดยบ้านที่จะสร้างนี้จะอยู่บนที่ดินที่พ่อตายกให้จำนวน10 ไร่ ที่พุทธมนฑลสาย 7 ตนไปถมที่ไว้แล้ว แต่ยังไม่ว่างเข้าไปสร้างบ้าน แล้วก็ไม่พร้อมกับการซื้อบ้านเพราะกลัวเสียดายเงิน เนื่องจากเรายังมีที่ที่ถมไว้รออยู่ จึงตัดสินใจจะหาเช่าบ้านแทน จากนั้น เฮียแต๋มได้บอกว่ามีบ้านอยู่ในหมู่บ้านดังกล่าว ซึ่งตนเห็นว่าอยู่ใกล้แฟลตวิภาวดีจึงขอเช่า แต่เฮียแต๋มก็ให้อยู่เลย ซึ่งตนเกรงใจจึงขอเช่าในราคา 50,000 บาทจำนวนสองหลัง ส่วนค่าน้ำค่าไฟจ่ายเอง ส่วนอีกสามหลังที่เหลือแบ่งเป๋น 2 หลังไว้เก็บของ (ไม่มีใครนอน) ลักษณะคล้ายว่าตนเฝ้าบ้านให้เฮียแต๋ม อีกหลังว่างไว้ พอพ่อป่วยหนัก เลยบอกให้พ่อมาอยู่ที่นี่แทน และตนก็จ้างพยาบาลมาดูแล พอพ่อเสียบ้านนั้นเลยว่างพอดี สรุปตนใช้แค่ 2 หลังเท่านั้น
“บิ๊กโจ๊ก”รู้แล้วใครบงการค้นบ้าน
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า สำหรับหมายจับสารวัตรนนท์ (นายตำรวจที่ติดตามตัวเอง) ท้ายคำร้องของพนักงานสอบสวนมีการระบุอาชีพหรือไม่ ตนไม่ทราบ ยังไม่เห็นว่าเขาระบุอาชีพอะไร ปกติหมายจับ ศาลดูตำแหน่งก่อน และดูรายละเอียดทั้งหมด ทำไมไม่เขียนยศ ตำแหน่ง ซึ่งก็ส่อพิรุธ เพราะต้องรู้ตั้งแต่การสืบสวนสอบสวนมาอยู่แล้วว่าจะไปค้นหรือจะจับกุมใคร ขอให้จับตาดูเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องใหญ่ นี่ไม่ใช่ยุค คสช. กรรมการสิทธิมนุษยชนก็จะออกมาแน่นอน อีกทั้งที่ผ่านมาในคดีกำนันนก ตนขอศาลออกหมายจับ ก็ระบุยศตำแหน่งของตำรวจ ซึ่งศาลก็ออกให้
ทั้งนี้ ตนรู้ว่าใครเป็นคนดำเนินการกับเรื่องราวทั้งหมด รู้ว่าใครเป็นคนสั่ง แต่ตนไม่อยากทุบหม้อข้าวตัวเอง ไม่อยากให้ลูกน้องที่ไม่เกี่ยวข้องเขาได้มีทางเดิน ถ้าทุบหม้อข้าวตัวเอง คงตายทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตนถึงไม่เปิดรายละเอียดทั้งหมด
‘บิ๊กโจ๊ก’รับ!ให้‘4นักข่าว’จริง
ส่วนประเด็นเรื่องการให้เงินนักข่าวบางสำนักนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตนเป็นผู้ให้จริง และนักข่าวที่ไปกับตน เวลาไปทำข่าวหลายๆ วัน พวกนี้เขามีทีม ตนเลยให้ 10,000 บาท ต่อจำนวน 4-5 วัน ซึ่งไม่ได้มาก และทุกครั้งที่ตนให้ เขาก็บอกว่าทางช่องให้แล้ว พวกนี้เขาไม่เคยมาขอเงินตนเลย แต่ตนเลี้ยงอาหารกลางวัน นักข่าวที่มาทำข่าวที่สโมสรตำรวจ มีลูกน้องที่ต้องเลี้ยงอาหารกลางวัน วันละ 200 กล่อง ตกเดือนละ 250,000 บาท ซึ่งเป็นเงินถูกกฎหมาย เป็นเงินส่วนตัวของตน ดังนั้น นักข่าวมาตนเลี้ยงหมด ตนเบิกหลวงไม่ได้ เพราะมีงบจำกัด ถ้าอยากให้ประสิทธิภาพมันดี ตนก็อำนวยความสะดวกแก่คณะทำงาน และคนที่ไว้วางใจเข้ามาร้องทุกข์ ตนไม่ได้เข้า ตร. เพราะมันแน่น ที่จอดรถก็ไม่มี อีกทั้ง ยังไม่ได้คุยกับนักข่าวที่จะโดนหมายจับเลย ทั้ง 4 ราย พร้อมยืนยันว่า มันไม่ใช่สินบน เงินที่ซื้อข้าวก็ไม่ใช่เงินจากเว็บพนัน
พาดพิง”บิ๊กโจ๊ก”โดนฟ้องแน่
ขณะที่ ทนายอนันต์ชัยกล่าวเสริมว่าสื่อมวลชนโดยหลักการแล้ว เขาได้เงินจากสถานีอยู่แล้ว แต่น้ำใจเล็กๆน้อยๆเช่นค่าอาหาร ค่าน้ำมัน สินน้ำใจพวกนี้ ไม่ใช่การให้สินบน เป็นสิ่งที่ให้ด้วยความสมานฉันท์ที่ดี จึงถามว่าจะผิดข้อหาอะไร นักข่าวรับสินบน หรือ แต่ให้เพราะเป็นสินน้ำใจ แล้วจะดำเนินคดีข้อหาอะไร ดังนั้นพนักงานสอบสวนที่จะเล่นนักข่าว ถ้าใครโดน บอกตน เดี๋ยวตนช่วยเอง
ทนายอนันต์ชัยกล่าวอีกว่า ทีมทนายความ เราดูกันสองส่วน ส่วนแรก ดูในเรื่องของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ส่วนลูกน้องที่โดนดำเนินคดีก็ทีมนึง เราจะดูทั้งหมดรวมถึงการให้สัมภาษณ์สื่อของทุกคนและการออกสื่อของบางสำนักจะดำเนินคดีทุกคดี เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง และเราจะตั้งวอร์รูม ให้ติดตามข่าวสารทางสื่ออย่างใกล้ชิดและจะทยอยฟ้องเรื่อยๆ ยืนยันว่า ไม่ได้ฟ้อง เพื่อเตะตัดขาแต่เป็นการฟ้องเพื่อใช้สิทธิ ดังนั้น อย่ามาร้องแร่เเห่กระเชิงหลังถูกฟ้องแล้ว และเตือนอีกครั้ง หน่วยงานที่รู้ข้อมูลต่างๆเช่น ข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลทางการเงินทางธนาคาร เดี๋ยวท่านจะโดนข้อหานำความลับส่วนตัวมาเปิดเผย
‘บิ๊กโจ๊ก’เปิดชื่อนักข่าวที่สนิท
วันเดียวกันเนชั่นออนไลน์ ลงรายละเอียดของรายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ถึงปมสื่อฯที่โยงเส้นทางการเงิน ว่า..
“มีเงิน เส้นเงินไปแตะนักข่าว 4 คน เวลานักข่าวไปทำข่าวกับผม ผมก็ให้เขา เป็นค่าข่าว 10,000 บาท ส่วนใหญ่ให้ครั้งละ 10,000 บาท ใครไปช่วยผมก็ให้ ผมมีนักข่าวที่สนิทอยู่ 3-4 คน นักข่าวเราก็รู้ว่าเงินเดือนเขาน้อย”
อย่าง “ม.” เขาทำข่าวให้ผมมานาน ตั้งแต่ผมเป็น ผกก.หาดใหญ่ ข้อดีของเขา คือ ผมมองว่า นักข่าวคนนี้ ไม่เคยขอตังผมเลย ไม่ได้พูดช่วย พูดเชียร์นะ เพราะนักข่าวคนไหน ไม่มีคุณธรรมผมก็ไม่ชอบ
นักข่าวที่ชื่อ”ม.”น้องสาวเขาชื่อ”อ.”เป็นนักข่าวที่หาดใหญ่ “ม.”กับ”อ.”เขาเป็นคนสงขลา ผมสนิทกับ “ม.” มากกว่า ผมย้ายมาอยู่กทม. เขาก็มาช่วยผมทำข่าวต่างๆช่อง.... ส่งมา ส่งคนนี้มาตลอด เพราะรู้ว่าผมคุ้นเคยกับผม ผมรู้ว่าเขานิสัยดี ผมไปไหน ก็เอาเขาติดตัวไปตลอด คอยทำคดีให้ แต่กำชับเขานะว่าทำข่าวผมต้องส่งไปให้ทุกสื่อมวลชนนะ
เงินที่ให้ ก็มี “ม.” มี “ค.” เพราะคุ้นเคยรู้จักมานาน ผมก็บอก”ค.”เอาไปใช้จ่าย โดย “ค.” เขาเป็นคนนครฯ ให้ครั้งละ 10,000 บาท ให้เป็นจ๊อบๆ ให้ไปกินข้าว ผมไม่ได้อยากเรียกมากินทุกมื้อ ก็ให้เงินเขาไปหากินกันเอง เขามากันเป็นทีมสามสี่คน มีทีมงาน ผมก็ให้หมื่นนึง
ขณะที่ สรยุทธ์ ได้พูดขึ้นว่า เเต่จริงๆ มันก็ไม่ควรให้นะ
บิ๊กโจ๊ก ได้กล่าวว่า 10,000 มันก็ไม่ได้มาก เป็นมิตรจิตมิตรใจ ผมเป็นคนที่ใจกว้าง ทำงานภาคสนามมาตลอดเข้าใจ ผมก็ทำเเบบนี้มาตั้งเเต่สารวัตร เห็นนักข่าวมาแถลงข่าวให้ น้องๆ เขาบ้าง คนละ 500 บ้าง ค่าข้าว ค่าน้ำมัน เอาเขาไปสอบได้เลย มันก็เป็นเงินผมทั้งหมด ไม่ใช่เงินเว็บพนัน
“เฮียแต๋ม”ยกเลิกแถลงข่าว
จากกรณี การบุกเข้าตรวจค้นบ้านพักของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ที่มีการปรากฏหลักฐาน ว่า เช่าอยู่จาก “เฮียแต๋ม” เศรษฐีชาว จ.อุดรธานี ประกอบธุรกิจขนส่ง โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุ เฮียแต๋ม เตรียมออกมาแถลงไขข้อสงสัยทุกประเด็น กับผู้สื่อข่าว นั้น
ล่าสุด เวลา 13.00 น. ที่สำนักงานทนายความ ตรงข้ามศาลอาญารัชดาฯ ซึ่งเป็นสถานที่นัดหมายสื่อแถลงข่าว ปรากฏสื่อมวลชนมากมายหลายแขนง พากันมารอรับฟังการแถลงข่าวจากเฮียแต๋ม ที่วันนี้จะเป็นวันแรกที่ปรากฏตัว อย่างไรก็ตาม เมื่อผ่านเวลานัดหมาย กลับไม่พบเฮียแต๋มแต่อย่างใด มีรายงานว่า”เฮียแต๋ม”ยังไม่สะดวกที่จะแถลงข่าว
ไม่กลัว‘บิ๊กโจ๊ก’ฟ้องกลับ
พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้าในคดีเว็บไซต์พนันออนไลน์ ว่า ขณะนี้อยู่ในระหว่างการสืบสวนของพนักงานสอบสวน
ส่วนกรณีการเรียกสอบกลุ่มสื่อมวลชนพล.ต.ท.ไตรรงค์กล่าวว่า ให้มองกลุ่มนี้เป็นในส่วนกลุ่มพลเรือนมีบางรายที่เจ้าหน้าที่เอง ก็มีข้อมูลว่าเป็นสื่อมวลชนหรือรู้เองในวงการว่ารายชื่อดังกล่าวเป็นสื่อมวลชนกลุ่มนี้จะมีการเรียกสอบ ในฐานะที่มีเส้นทางการเงินเกี่ยวข้องกับบัญชีม้าของกลุ่มผู้ต้องหาที่มีการจับกุมส่วนการรับเงินโดยตรงจากบัญชีอื่นๆที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดี ก็ถือว่าไม่ได้มีความผิด
เมื่อถามถึงความกังวลใจกรณีที่รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจัดตั้งชุดทนายความเพื่อเตรียมฟ้องกลับชุดจับกุมว่าทำหน้าที่โดยไม่ชอบ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 หรือไม่ พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวว่า ต้องให้ความเป็นธรรมกับชุดสืบสวนสอบสวนและจับกุมก่อน ตนยืนยันว่าในทุกขั้นตอน และกระบวนการเป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักขั้นตอนของกฎหมาย
ย้าย8ลูกน้อง‘บิ๊กโจ๊ก’เข้ากรุ
วันเดียวกัน ได้มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 553/2566 เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจปฏิบัติราชการ ไปปฎิบัติหน้าที่ที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาคาร 1 ชั้น 20 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 8 คน ซึ่งทั้งหมดเป็นลูกน้องของบิ๊กโจ๊ก
ตั้ง”ต่อศักดิ์”ผบ.ตร.คนใหม่
เมื่อเวลา 13.33น.. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เดินทางมาเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่ 10/2566 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกภายหลังเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่เดินทางมาร่วมประชุมในฐานะประธาน คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) โดยมีวาระสำคัญที่ทุกฝ่ายต่างจับตาดูคือตำแหน่ง ผบ.ตร.คนใหม่
ซึ่งที่ประชุม ก.ตร.ได้มีมติเลื่อนการแต่งตั้ง ผบ.ตร. ยาวไปถึงเดือนตุลาคม โดยได้แต่งตั้ง พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจ รอง ผบ.ตร. อาวุโสลำดับที่ 1 รักษาการ ผบ.ตร. ไปก่อน
ต่อมา ที่ประชุม ก.ตร. ต้องการเดินหน้า เลือก ผบ.ตร.คนใหม่ ระบุอยากให้จบ ก่อนให้แคนดิแดต ผบ.ตร. ออกไปนอกห้อง และมีมติแต่งตั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. อาวุโส ลำดับที่ 4 เป็นผบ.ตร.คนใหม่
ทางด้านนายกฯเศรษฐา ไม่ตอบในประเด็นดังกล่าวแค่ชูนิ้วโป้ง และว่าให้ทางโฆษกสตช.เป็นผู้แถลงเอง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี