ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 เคยได้ชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจเรื่อง“การร้อนขึ้นของโลกที่ 1.5 องศาเซลเซียส” ว่า จะส่งผลกระทบต่อความเสี่ยงจากการเกิดภัยธรรมชาติ และความผันผวนต่อระบบต่างๆ ของมนุษย์
โดยหากอุณหภูมิโลกในปัจจุบันยังคงสูงขึ้น คาดว่าภายในปี พ.ศ. 2573 หรือในอีก 7 ปีข้างหน้า อุณหภูมิโลกจะร้อนขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ในขณะที่เมื่อเร็วๆ นี้องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก ได้ออกมาประเมินเวลาของการเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวขึ้นใหม่ว่า อาจเกิดเร็วขึ้น 3 ปี หรือภายในปี พ.ศ. 2570 หากโลกยังคงไม่สามารถยับยั้งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างจริงจัง
ดร.ธีรพัฒน์ อังศุชวาล อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เชื่อว่า การเฝ้ารอดูปรากฏการณ์โลกร้อนเกิน 1.5 องศาเซลเซียสที่กำลังใกล้เข้ามาทุกทีด้วยการติดตามเพียงตัวเลขที่ประเมินด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์จะไม่เกิดประโยชน์อันใดเลย หากขาดความเข้าใจ เพื่อการปรับตัว และลงมือป้องกันเสียตั้งแต่วันนี้ ทุกคนสามารถทำหน้าที่ “นักวิทย์พลเมือง (Citizen Scientists)” เพื่อร่วมเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมของโลกได้
ซึ่งการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน สำคัญที่ “การวางโครงสร้างทางสังคม” เพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ อุปสรรคสำคัญส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาด้าน “การสื่อสารวิทยาศาสตร์ (Science Communications)” ที่มักแสดงข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์แบบเฉพาะส่วน ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันยังคงมองไม่เห็นปัญหาในภาพรวมว่ามีความสำคัญร่วมกันมากเพียงใด จึงยังไม่เกิดความตระหนักใส่ใจต่อปัญหาเท่าที่ควร ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนต้องตื่นตัวลุกขึ้นมาสวมวิญญาณนักวิทย์พลเมืองสร้างอนาคตให้กับโลก
ตัวอย่าง “การออกแบบกิจกรรมเพื่อส่งเสริมให้เยาวชนได้ฝึกเป็นนักวิทย์พลเมือง” โดยใช้ทักษะ “การคิดเชิงวิเคราะห์ (Critical Thinking)” ได้แก่ การเปิดโอกาสให้เยาวชนได้ “วาดภาพแห่งอนาคต” หากโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงในวันข้างหน้า จะเตรียมการรับมืออย่างไร หรืออาจจัดทำเป็นบัตรภาพเพื่อฝึกจินตนาการ และลำดับความคิด สู่การแก้ไขปัญหาที่เชื่อมโยงด้วยเหตุและผล โดยจะไม่มีการชี้ถูกหรือผิด เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนที่ร่วมกิจกรรมได้แสดงความคิดได้อย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม ดร.จิดาภา คุ้มกลาง อาจารย์ประจำหลักสูตรศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาสิ่งแวดล้อมศึกษา ภาควิชาศึกษาศาสตร์คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความเห็นว่า“การฝากความหวังให้เยาวชนคนรุ่นใหม่รับผิดชอบต่ออนาคตของโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว จะยิ่งไปสร้างความกดดันมากกว่าความรู้สึกรับผิดชอบต่อโลก” ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของโลกถือเป็นหน้าที่ของทุกคน
ทั้งนี้ การสื่อสารวิทยาศาสตร์ที่ได้ประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ และตระหนักในปัญหาโลกร้อน จะต้องใช้ทักษะการสื่อสารด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย โดยจากการลงพื้นที่สำรวจเก็บข้อมูลที่ผ่านมาพบว่าเยาวชนส่วนใหญ่มีความเข้าใจในปัญหาของโลกร้อนที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตเป็นอย่างดี แต่ยังคงไม่แน่ใจว่าจะออกแบบชีวิต หรือปรับตัวอย่างไรให้เท่าทัน ซึ่งการเปิดโอกาสให้เยาวชนที่มีความสนใจด้านเดียวกัน ได้พูดภาษาเดียวกัน ร่วมทำกิจกรรมจิตอาสาและสร้างเครือข่าย จะทำให้เกิดการสื่อสารที่สร้างสรรค์สู่ “พลังเปลี่ยนโลก” ได้ต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี