‘โฆษกศธ.’เผยต้องถอดบทเรียนเหตุการณ์เยาวชนวัย 14 ปีใช้อาวุธปืนยิงคนดับในพารากอน
4 ตุลาคม 2566 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะโฆษก ศธ. แถลงกรณีเด็กชายอายุ 14 ปี ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงคนในพารากอน เป็นสาเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย ว่า พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศธ. และนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศธ. ขอแสดงความเสียใจกับญาติของผู้เสียชีวิต และผู้ได้รับบาดเจ็บทุกคน ซึ่งหลังจากทราบเหตุ ศธ.ก็ได้มีการติดตามสถานการณ์ โดยจากการตรวจสอบ เด็กที่ก่อเหตุ เป็นนักเรียนศูนย์การศึกษาทางเลือก เป็นการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย ภายใต้ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งศธ. มีหน้าที่อนุมัติการจัดเรียนการสอน โดยพิจารณาจากหลักสูตรแกนกลาง ส่วนรูปแบบการเรียนการสอนขึ้นอยู่กับทางโรงเรียนแต่ละแห่งว่าจะกำหนดร่วมกัน โดยโรงเรียนลักษณะดังกล่าว มีอยู่กว่า 2,000 แห่ง กระจายอยู่ทั่วประเทศ เฉพาะในกรุงเทพฯ มีอยู่กว่า10 แห่ง การเรียนการสอนจะแบ่งเป็นกลุ่ม เช่น เน้นการจัดการเรียนการสอนสู่ความเป็นเลิศ หรือกลุ่มที่มีเงื่อนไขที่ผู้ปกครองต้องจัดการเรียนการสอนกันเอง
“เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ก็ต้องให้ศธ. มีการถอดบทเรียน ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากสาเหตุอะไร ศธ.เองยังไม่ด่วนสรุป และยังไม่ด่วนโทษว่าเป็นความผิดของผู้ใด หน่วยงานใด หรือเป็นความผิดของสิ่งใด แต่สิ่งที่สำคัญและจำเป็นคือ การหาเหตุจูงใจเพื่อถอดบทเรียน แล้วนำมาสู่การป้องกันและแก้ปัญหาไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต” โฆษก ศธ. กล่าว
โฆษก ศธ. กล่าวว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น นายนิยม ไผ่โสภา ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.)กรุงเพทฯ เขต 1 ได้ลงพื้นที่เพื่อสอบถามข้อมูลจากผู้บริหารโรงเรียน ซึ่งข้อมูลเบื้องต้น พบว่าเด็กคนดังกล่าวมีปัญหาทางสภาพจิต แต่ก็ไม่สามารถที่จะฟันธงได้จากคำให้การของผู้บริหารเพียงคนเดียว และยังไม่สามารถโทษว่าเป็นความผิดของสถานศึกษาที่ประกอบการเรียนการสอน แต่วันนี้เมื่อผู้เยาว์ก่อเหตุ ก็เป็นเรื่องที่ศธ.ต้องทำความเข้าใจ ว่าเด็กที่ก่อเหตุ เป็นเด็กที่อยู่ในระบบการศึกษาอีกรูปแบบหนึ่ง ส่วนตัวผมมองว่าเป็นโอกาส ที่จะถอดบทเรียน หามาตรการป้องปรามไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีก เพราะในความเป็นจริงเหตุการณ์ในลักษณะนี้มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นในทุกระบบการศึกษา ซึ่งมีการพูดคุยในเรื่องการดูแลสภาพจิตใจเด็กในระบบทั้งผู้เรียนและครูผู้สอน
“ต้องยอมรับว่า เด็กและบุคลากรทางการศึกษาอยู่ในสภาวะที่เครียด และกดดันเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมาศธ. พยายามอบรม ให้ความรู้ หากิจกรรมที่แตกต่างหลายหลายเพื่อลดทอนความเครียด สำหรับหน่วยงานใต้สังกัด ศธ. ผมคิดว่า สามารถดูแลได้โดยง่าย เพราะเป็นหน่วยใต้สังกัดที่บังคับบัญชาได้ แต่สำหรับหน่วยงานที่ศธ.มีหน้าที่แค่กำกับดูแล ผมคิดว่า อาจจะต้องหาข้อตกลงร่วมกัน” นายสิริพงศ์ กล่าว
นายสิริพงศ์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ทางเขตพื้นที่ฯยังได้รายงานว่า มีการสอบถามผู้ปกครองเบื้องต้น แต่ยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมมากนัก ซึ่งตรงนี้ถือเป็นสิทธิของผู้ปกครอง ที่อาจจะยังไม่พร้อมที่จะให้ข้อมูล ในส่วนของศธ. ก็ทำหน้าที่แสดงความห่วงใย และได้ลงพื้นที่ซึ่งจากข้อมูล ก็พบว่า โรงเรียนดังกล่าว ไม่ได้ขอจัดตั้งเป็นโรงเรียน แต่เป็นศูนย์การเรียน ที่ค่อนข้างมีความพร้อม มีนักเรียนกว่า 800 คน ครูผู้สอนกว่า 115 คน อัตราครูต่อนักเรียนอยู่ที่ 1:7 ถือว่าให้ความเข้มข้นอัตราครูและนักเรียนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ เป็นโรงเรียนที่มีค่าเทอมค่อนข้างสูง อย่างหลักสูตรวิทยาศาสตร์ มีค่าเล่าเรียนเทอมละกว่า 1 แสนบาท และถ้าเป็นหลักสูตรภาษอังกฤษมีค่าเล่าเรียนกว่า 3 แสนบาท แต่จะแตกต่างกับโรงเรียนนานาชาติที่จะมีกฎระเบียบเข้ามากำกับดูแล
นายสิริพงศ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีที่มีกระแสว่า สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้เด็กก่อเหตุมาจากการติดเกม ส่วนตัวก็ไม่อยากให้ด่วนสรุปเช่นนั้น แต่สิ่งหนึ่ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เฉพาะสถานศึกษาเท่านั้น แต่ควรจะเป็นผู้ปกครองและคนในสังคมทุกคน ต้องเข้ามาช่วยกันดูแลการเข้าถึงสื่อทุกประเภทไม่ใช่เฉพาะเกม แต่รวมถึงภาพยนตร์ซึ่งจะมีเรตมาตรฐานกำกับอยู่ ดังนั้น แต่ละครอบครัว ควรจะให้คำแนะนำเยาวชนในการเข้าถึงสื่อแต่ละประเภทตามช่วงอายุที่กำหนด เพราะบางครั้งผู้ปกครองเองก็อาจมีการหลงลืม สำหรับการปรับหลักสูตร นั้น รมว.ศธ. มีนโยบายอยากให้เน้น ในเรื่อง “เรียนดี มีความสุข” สร้างทักษะให้เด็กได้รับการแนะแนวทั้งจากครอบครัวและครู ให้เขาเรียนไปแล้วสามารถประกอบอาชีพดูแลตัวเองได้ ตรงนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญ ขณะเดียวกันยังเน้นเรื่องการดูแลสุขภาพจิตโดยได้ทำบันทึกข้อตกลงกับกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ให้เข้ามาช่วยให้ความรู้กับครูและบุคลากร ให้รู้วิธีติดต่อสื่อสารและสังเกตอาการเด็ก เพื่อจะได้สื่อสารกับผู้ปกครองอย่างตรงไปตรงมา โดยก่อนหน้านี้ยังพูดถึงโรงเรียนของผู้ปกครองที่จะให้คำแนะนำสนับสนุนการใช้ชีวิตร่วมกันระหว่างผู้ปกครองและเด็กอย่างมีความสุข
“ในส่วนของคดีความ ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ นอกจากว่า ผู้ปกครองไม่มีความสามรถในเรื่องของการต่อสู้คดีและปกป้องสิทธิ ศธ.ก็อาจต้องเข้าไปช่วยดูแล แต่โดยหลักการเรื่องของกฎหมายก็จะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศธ.มีหน้าที่กำกับดูแลควบคุมให้การสนับสนุนในเรื่องการจัดการศึกษา” นายสิริพงศ์ กล่าว
ด้านนายนิยม กล่าวว่า จากการพูดคุยกับผู้บริหารโรงเรียนพบว่าขณะนี้โรงเรียนอยู่ระหว่างการปิดภาคเรียน โดยเด็กมีประวัติการรักษาทางจิต ซึ่งทางโรงเรียนมีการประสานกับผู้ปกครองมาโดยตลอด ทั้งนี้ โรงเรียนดังกล่าว ถือเป็นโรงเรียนทางเลือก ซึ่งตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 สมาคม หรือสถานประกอบการสามารถเปิดศูนย์การเรียนได้ เป็นการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ซึ่งยืดหยุ่นทั้งวิชาเรียน เนื้อหา เวลาเรียน และการวัดผลประเมินผล ส่วนจะสามารถเพิกถอนการจัดตั้งได้หรือไม่นั้น ศธ. มีอำนาจควบคุมเรื่องวิชาการ และการดูแลความปลอดภัยของนักเรียนเท่านั้น และกรณีนี้ ยังไม่สามารถเชื่อมโยงได้ว่าโรงเรียนมีความผิด หรือมีส่วนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้น จึงได้เน้นย้ำให้โรงเรียนดูแลความปลอดภัย และป้องกันไม่ให้นักเรียนพกพาอาวุธเข้ามาในโรงเรียน รวมถึงอยากให้ช่วยดูแลสภาพจิตใจ นักเรียนและครู หากพบเด็กที่มีปัญหาสุขภาพจิต ครูก็จะต้องดูแลและประสานผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี