อยุธยาจมน้ำ 4 อำเภอ
กำแพงเพชรอ่วมหนัก
กรมอุตุฯเตือนมรสุมยังส่งผลกระทบ 42 จังหวัดมีฝนตกหนัก ด้าน ปภ.ชี้ยังคงมีน้ำท่วมใน4 จังหวัด กระทบกว่า 1.3 ครัวเรือนส่วน จ.กำแพงเพชร น้ำหลากซัดสะพานข้ามน้ำปิง พังถล่ม ขณะที่จ.พิจิตร ติดธงเหลือง เตือนเฝ้าระวังระดับน้ำยม-น่าน เพิ่มสูง ด้าน จ.สระบุรี น้ำป่าสักกัดเซาะตลิ่งทรุดตัว
เมื่อวันที่ 5ตุลาคม กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศว่า ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง โดยมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณภาคกลาง ขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากโดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองและหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรงในระยะนี้ โดยมี42จังหวัด เสี่ยงฝนตกหนัก
สำหรับทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง
อนึ่ง พายุไต้ฝุ่นโคอินุ บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก มีแนวโน้มการเคลื่อนตัวผ่านสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ในวันเดียวกันนี้ คาดว่าจะเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งด้านตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีนช่วงวันที่ 6-8ตุลาคม2566และจะอ่อนกำลังลงตามลำดับ โดยพายุนี้ไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อลักษณะอากาศของประเทศไทย ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปบริเวณดังกล่าวตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทาง
ด้านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในฐานะกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก) รายงานสถานการณ์ฝนตกหนักช่วงที่ผ่านมา ทำให้ระหว่างวันที่ 26 กันยายน-5ตุลาคม2566 เกิดสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ 28จังหวัด ได้แก่ เพชรบูรณ์ แม่ฮ่องสอน ลำพูน อุตรดิตถ์ เชียงใหม่ ลำปาง สุโขทัย น่าน ตาก กำแพงเพชร แพร่ เลย ชัยภูมิ นครราชสีมา อุดรธานี ยโสธร กาฬสินธุ์ ขอนแก่น อุบลราชธานี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี นครนายก ตราด กาญจนบุรี ลพบุรี สมุทรปราการ สตูล และยะลา รวม 96 อำเภอ 347 ตำบล 1,600 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 33,140 ครัวเรือน ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์น้ำท่วมใน 4 จังหวัด ได้แก่ ตาก กาฬสินธุ์ อุบลราชธานี และตราด รวม 15 อำเภอ 66 ตำบล 379 หมู่บ้าน และประชาชนได้รับผลกระทบ 13,209 ครัวเรือน
วันเดียวกัน นายชัยวัฒน์ พันธ์วิทยากูล นายกอบต.วังแขม อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร เปิดเผยว่า สะพานศรีมงคลวชิรานุสรณ์ หรือสะพานวังแขม ซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำปิงเชื่อมโยงระหว่าง ต.วังแขม ข้ามไป ต.แม่ลาด อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร สร้างขึ้นเมื่อปี 2547 และเปิดใช้งานถึงปัจจุบัน รวม 19 ปี พังถล่มเนื่องจากฝนตกอย่างหนัก ประกอบกับมวลน้ำจากภาคเหนือไหลผ่านจนทำให้สะพานเกิดทรุดตัวลงมา อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้พบว่าตอม่อสะพานได้ทรุดตัวลงอย่างหนักต่อเนื่อง จนมองเห็นด้วยตาเปล่าชัดเจน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้นายชาธิป รุจนเสรี ผวจ.กำแพงเพชร พร้อมด้วยนายสดุดี พุทธัง นายอำเภอคลองขลุงและเจ้าหน้าที่ทางหลวงชนบทกำแพงเพชร ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่พร้อมกับสั่งการให้นำแท่นปูนมาวางปิดการจราจรถาวรเพื่อความปลอดภัยและห้ามไม่ให้ประชาชนผ่านไปมาเนื่องจากกังวลว่าจะเกิดอันตราย รวมทั้งมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดจับภาพบริเวณสะพาน กระทั่งสะพานได้ขาดออกจากตอม่อถล่มลงแม่น้ำปิงดังกล่าว ซึ่งมีการรายงานต่อผู้บังคับบัญชาทราบแล้ว
นายชัยวัฒน์กล่าวว่า สิ่งที่ตามมาคือความเดือดร้อนของประชาชนทั้งสองฝั่งแม่น้ำปิง ระหว่าง ต.วังแขมและ ต.แม่ลาด ถูกตัดขาดด้านการสัญจร รวมถึงรถบรรทุกผลิตผลทางการเกษตรของชาวบ้าน และการ
สัญจรไปมาเพื่อจับจ่ายใช้สอยเครื่องอุปโภคและบริโภคของประชาชน แต่เชื่อว่าทางจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เร่งเข้าแก้ไขปัญหาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน
ที่ จ.พิจิตร ผู้สื่อข่าวรายงานถึงสถานการณ์น้ำท่วมว่า ปริมาณน้ำในแม่น้ำยมที่ ต.กำแพงดิน อ.สามง่าม จ.พิจิตร ซึ่งรับน้ำจาก อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก ยังคงเพิ่มสูงอยู่ในระดับ 5.15 เมตร ปริมาณน้ำ 301 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)/วินาที โดยนายเอกฉัตร เอี่ยมตาล ผอ.โครงการชลประทานพิจิตร กล่าวว่า ทางชลประทานจังหวัดพิจิตร ได้นำธงสีเหลืองติดตั้งบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำน่าน อ.เมือง จ.พิจิตร และบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำยม อ.สามง่าม เพื่อแจ้งเตือนประชานที่มีสิ่งปลูกสร้างอยู่ริมตลิ่ง และพื้นที่ลุ่มต่ำในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำน่าน และแม่น้ำยม ให้เฝ้าระวังน้ำล้นตลิ่งขั้นสูงสุด หลังจากรับมวลน้ำจากพื้นที่ จ.สุโขทัย และพิษณุโลก ซึ่งไหลบ่าลงมาอย่างรวดเร็ว และมีน้ำป่า และน้ำทุ่งไหลมาสมทบ ทำให้แม่น้ำน่านและแม่น้ำยม เพิ่มระดับสูงสูงขึ้นต่อเนื่อง ก่อนที่มวลน้ำจะไหลไปสู่พื้นที่ จ.นครสวรรค์
อย่างไรก็ดี แม่น้ำน่าน ที่ไหลผ่าน อ.เมือง อ.ตะพานหิน และ อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร สถานีตรวจวัดระดับน้ำน่าน N-7A อ.เมืองอยู่ที่ 8.39 เมตร อัตราการไหล 695.50 ลบ.ม./วินาที ต่ำกว่าจุดวิกฤต 1.48 เมตร สถานีตรวจวัดน้ำ N-8A อ.บางมูลนาก ระดับน้ำอยู่ที่ 9.15เมตร อัตราการไหล 781.20 ลบ.ม./วินาที ส่วนระดับน้ำในแม่น้ำยม ที่สถานีวัดระดับน้ำ Y-17 หน้าที่ว่าว่าการ อ.สามง่าม อยู่ที่ 5.15 เมตร ต่ำกว่าจุดวิกฤต 1.61 เมตรอัตราการไหล 301.10 ลบ.ม./วินาที
ทั้งนี้หากระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นไปอีกประมาณ 40-50เซนติเมตร ชลประทานจังหวัดพิจิตรจะติดธงแดงเพื่อแจ้งให้ประชาชนขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูงต่อไป ขณะที่บ้านเรือนประชาชนกว่า 10 หลังคาเรือน ในพื้นที่บ้านวังปลาทู หมู่ 11 ต.กำแพงดิน อ.สามง่าม ที่ปลูกอยู่ริมน้ำ ถูกน้ำล้นตลิ่งไหลท่วมชั้นล่างของบ้าน และระดับน้ำยังเพิ่มสูงขึ้นจากน้ำที่ไหลลงมาตอนบน โดยชาวบ้านอยากให้สำรวจพื้นที่เพื่อสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำยม ป้องกันน้ำท่วมระยะยาวเพราะน้ำท่วมเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี
สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนประชาชนใน 4 อำเภอ คือ อ.สามง่าม อ.โพธิ์ประทับช้าง อ.บึงนาราง และ อ.บางมูลนาก ซึ่งเป็นพื้นที่การเกษตรและเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ รวม 309 หลังคาเรือน ขณะที่ปริมาณฝนสะสมได้ไหลเข้าท่วมเพิ่มเติมที่ ต.หอไกร อ.บางมูลนาก หมู่ 1,2และ 4 ประชาชนได้รับความเสียหาย 110 หลังคาเรือน ซึ่งทางชลประทาน ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ 3 เครื่อง เพื่อเร่งระบายน้ำแล้ว
ส่วนที่ จ.สระบุรี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง ส่งผลให้น้ำป่าสักกัดเซาะริมตลิ่งทรุดตัวใน ต.ตาลเดี่ยว อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เป็นแนวยาวกว่า 100 เมตร มีบ้านพัง 1 หลัง จักรยานยนต์จมหายร่วม10คัน เสาวิทยุป้อมตำรวจหมู่บ้าน ล้มเสียหาย ภายหลังได้รับแจ้ง นายวีรพล โพธิ์สีทองผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ได้ประสานฝ่ายปกครอง อ.แก่งคอย แขวงการทางสระบุรี การไฟฟ้าฯ และกู้ชีพกู้ภัย เข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ริมถนนสุดบรรทัด สะพานข้ามแม่น้ำป่าสัก หมู่ 2 ต.ตาลเดี่ยว อ.แก่งคอย จ.สระบุรี
ด้านนายมงคล สุขศิลา นายกอบต.ตาลเดี่ยว กล่าวว่า สาเหตุที่ตลิ่งทรุดตัวนั้น เนื่องจากมีฝนตกสะสมในพื้นที่มาหลายวันและช่วงวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา ฝนตกตลอดทั้งวัน ทำให้ปริมาณน้ำในแม่ป่าสักที่ไหลผ่านบริเวณเกิดเหตุซึ่งเป็นทางโค้ง ถูกน้ำกัดเซาะ จึงเกิดความเสียหายดังกล่าวแต่ยืนยันว่าไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้รีบสั่งปิดพื้นที่บริเวณที่เกิดเหตุ และได้ให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผวจ.พระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำใน จ.พระนครศรีอยุธยาพบว่า จากการที่เขื่อนเจ้าพระยามีการระบายน้ำ 1,479 ลบ.ม./วินาทีลงสู่พื้นที่ท้ายเขื่อน ส่งผลให้แม่น้ำน้อยและลำคลองต่างๆ ที่รับน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยามีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้บ้านเรือนประชาชนที่อยู่นอกแนวคันกั้นน้ำระดับน้ำล้นตลิ่งเข้าท่วมแล้ว 4อำเภอ คือ อ.เสนา อ.บางบาล อ.ผักไห่ อ.พระนครศรีอยุธยา ครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจำนวน 2,218ครัวเรือน ลักษณะมีน้ำท่วมใต้ถุนบ้านสูง 20ซม.-1เมตร ส่วนพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม มีการเตรียมยกคันกั้นน้ำขึ้นสูงกว่า 1.8เมตร จากระดับน้ำท่วมสูงสุดปี2554 ส่วนในด้านของการท่องเที่ยวพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาไม่ว่าจะเป็นถนนสายต่างๆ ยังสามารถเดินทางเข้าสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้ และยังสามารถท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ มีเพียงเรือท่องเที่ยวที่ทางกรมเจ้าท่า ได้ออกประกาศแจ้งเตือนให้ระมัดระวังในการเดินเรือช่วงน้ำหลากเท่านั้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี