ผ่านพ้นไปแล้วกับนิทรรศการ “ฅนทำการผลิตที่บ้าน (We’re Home-based workers)” เมื่อวันที่ 7-8 ต.ค. 2566 ที่ผ่านมา ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร โดยงานดังกล่าวจัดขึ้น มูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ (HomenetThailand) หวังให้สังคมรู้รับรู้การมีตัวตนของคนกลุ่มนี้ซึ่งถือเป็น “แรงงานนอกระบบ” อีกกลุ่มหนึ่งที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย แต่ขณะเดียวกันก็ประสบปัญหาและต้องการนโยบายการคุ้มครองดูแลที่เหมาะสม
ระกาวิน ลีชนะวานิชพันธ์ ประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ กล่าวว่า ในช่วงปี 2538-2539 ซึ่งเป็นยุคแรกๆ ที่มูลนิธิฯ เริ่มทำงาน พบผู้ทำการผลิตที่บ้านจำนวนมากคือคนทำงานหัตถกรรมพื้นบ้านประเภทต่างๆ ซึ่งแรงงานกลุ่มนี้ไม่ได้รับความคุ้มครองใดๆ ในฐานะแรงงานไม่ว่าจะเป็นกฎหมายคุ้มครองแรงงาน กฎหมายประกันสังคม โดยเมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้นจะมีเพียงกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เท่านั้น
แต่เมื่อผ่านไปประมาณ 2 ทศวรรษ พบความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างมาก “จากผู้ผลิตแบบใช้ความคิดสร้างสรรค์กลายเป็นผู้รับจ้างทำตามใบสั่ง” ซึ่งสืบเนื่องจากเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวของไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว จึงมีความต้องการสินค้าประเภทของที่ระลึกสำหรับจำหน่ายตามแหล่งท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างมากไปด้วย ด้านหนึ่งคนทำงานมีความสุขดีเพราะมีคนจ้างงานมากขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งผลงานก็ขาดความหลากหลาย เพราะมีชิ้นงานที่ได้รับความนิยมมากมีการสั่งผลิตอย่างต่อเนื่อง และชิ้นงานที่ไม่ได้รับความนิยมและค่อยๆ หายไป
นอกจากงานหัตถกรรมเชิงศิลปะแล้ว ยังมีงานประเภทตัดเย็บเสื้อผ้า ถักแห-อวน ซึ่งต้องบอกว่าในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” ในปี 2540ส่งผลให้จำนวนแรงงานประเภทผู้ทำการผลิตที่บ้านเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีคนตกงานต้องออกจากระบบโรงงานอุตสาหกรรมไปเป็นจำนวนมาก และงานนี้เป็น“ทางรอด” โดยรับงานมาจากโรงงาน ทั้งนี้ การเปลี่ยนจากผู้ประกอบอาชีพอิสระเป็นผู้รับจ้างผลิต เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วโลก และคงไม่สามารถย้อนกลับไปหาอดีตได้ แต่การที่มีรูปแบบการทำงานแตกต่างจากแรงงานในโรงงาน จึงเป็นเรื่องไม่ง่ายในการออกมาตรการคุ้มครอง
“เราต้องการความคุ้มครอง แต่เป็นการคุ้มครองอีกแบบหนึ่งที่ให้ความยืดหยุ่นกับสิทธิตรงนี้ที่จะคุ้มครองเรา เราอาจจะไม่ได้อยู่โรงงานแต่อยู่ที่บ้าน เราอาจไม่ทำอาชีพเดียว เราทำหลายๆ อาชีพ เราเป็นเกษตรด้วยในฤดูการเกษตร เราเป็นผู้รับงานไปทำที่บ้านในช่วงที่ไม่ได้ทำการเกษตร เพราะฉะนั้นงานเหล่านี้จริงๆ ก็เป็นงานที่รู้อยู่ว่ามันเป็นธรรมชาติของเรา ฉะนั้นเราจะไม่มีความแข็งเกร็ง-ดุดันในเรื่องการต่อรองทางกฎหมายเหมือนกับแรงงานในระบบเขา” ประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ กล่าว
ขณะที่ นาวิน ธาราแสวง ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายแรงงานนอกระบบ สํานักงานปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า การทำงานผลิตที่บ้านถือเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจอีกอย่างหนึ่ง และเป็นแรงงานนอกระบบรูปแบบหนึ่ง โดย “แรงงานนอกระบบ หมายถึง คนทำงานที่ไม่มีนายจ้างเป็นทางการ”ไม่ได้เป็นลูกน้องใครในบริษัทหรือโรงงาน สามารถเลือกเวลาทำงานได้ เช่น ค้าขาย เกษตรกร ไปจนถึงผู้ผลิตผลงานเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ (ยูทูบเบอร์, อินฟลูเอนเซอร์) ซึ่งสำหรับคนรับงานไปทำที่บ้าน จะถูกควบคุมการจ้างงานด้วยคุณภาพและปริมาณของงานตามที่ว่าจ้าง
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงาน ได้พยายามผลักดัน “(ร่าง) พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ พ.ศ. ..” ปัจจุบันผ่านขั้นตอนกฤษฎีกาแล้ว หลังจากนี้จะเป็นการส่งต่อไปให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา สาระสำคัญคือ “เปิดให้มีการขึ้นทะเบียนแรงงานอิสระ” เพื่อให้รัฐทราบว่าเป็นผู้ประกอบอาชีพจริงและประกอบอาชีพใดบ้าง เพราะจะมีผลกับ “การส่งเสริมการรวมกลุ่มของผู้ประกอบอาชีพเดียวกัน” ที่นำไปสู่การส่งตัวแทนเข้าไปร่วมทำงานใน “คณะกรรมการบริหารจัดการนอกระบบ” ซึ่งควรเป็นตัวแทนแรงงานจริงๆ ไม่ใช่แอบอ้างเข้ามา
นอกจากนั้นยังมี “การเป็นสมาชิกกองทุน” ที่เกี่ยวข้องกับหลักประกันและการกู้ยืมเงิน ซึ่งต้องการให้เข้าถึงผู้ประกอบอาชีพตัวจริง และต้องย้ำว่า “แม้ (ร่าง) พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุ้มครองแรงงานนอกระบบ พ.ศ. .. ในอนาคตจะผ่านออกมาเป็นกฎหมายบังคับใช้ แต่ก็ไม่ได้ไปยกเลิก พ.ร.บ.คุ้มครองผู้รับงานไปทําที่บ้าน พ.ศ. 2553 ที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน” โดยกฎหมายใหม่จะเป็นการทำให้ครอบคลุมแรงงานนอกระบบทุกกลุ่มมากขึ้น เพื่อไม่ให้มีกลุ่มใดถูกทิ้งไว้ข้างหลัง จึงไม่ใช่การถอยหลังแต่เป็นการเดินหน้าเสียด้วยซ้ำไป
“สิ่งที่ผู้รับงานไปทำที่บ้านได้รับความคุ้มครองอย่างไรก็ยังได้รับความคุ้มครองอยู่ ไม่ใช่พอ พ.ร.บ.แรงงานอิสระออกมา พ.ร.บ.ผู้รับงานไปทำที่บ้านพับเก็บ ไม่ใช่! ยังอยู่ นั่นคือเหตุผลที่หนึ่ง และเหตุผลที่สอง ความคุ้มครองมันอาจดูน้อย ผมเข้าใจมันไม่มีอะไรถูกใจทุกคน มันเป็นไปไม่ได้ หลายท่านอาจจะเห็นว่ามันดีมากกว่านี้ได้ในมุมของท่านซึ่งผมก็ไม่ได้ปฏิเสธ แต่ ณ วันนี้ถ้าเราจะหาฉันทามติที่ทุกคนถูกใจ ผมไม่แน่ใจว่าเราจะต้องใช้เวลามากกว่าตอนที่ท่านอาจารย์นิคม (นิคม จันทรวิทุร นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิแรงงาน) ทำ พ.ร.บ.ประกันสังคม หรือเปล่า?
คือตอนที่เราทำงานนี้กัน เราพูดถึงอยู่ว่าพวกเราชาวกระทรวงแรงงาน บุคคลด้านแรงงานที่เราเคารพ ท่านอาจารย์นิคม คุณูปการที่ท่านทำ พ.ร.บ.ประกันสังคม ออกมาได้ แต่รู้สึกว่าท่านจะใช้เวลา 20-30 ปี ถ้านับจากจุดนั้น ถ้าเราเดินตามรอยท่าน ผมว่ากว่าจะถึงตรงนั้น พี่น้องแรงงานนอกระบบเราอาจจะเดือดร้อนมากกว่านี้ไปอีกเยอะ ถ้าเราออกเดินไป อาจจะไม่ถูกใจสักทีเดียวแต่มันก็เป็นการเดินก้าวแรก มันดีกว่าอยู่กับที่” ผอ.สำนักงานนโยบายแรงงานนอกระบบ กล่าว
ด้าน เนาวรัตน์ ทรงสวัสดิ์ชัย ประธานสภาองค์การนายจ้าง ผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจโลก แม้แต่งานในโรงงานผู้ประกอบการก็ยังไม่สามารถเติมเต็มให้กับแรงงานได้ ขณะเดียวกันยังต้องแข่งขันกับจีน ประเทศที่ใหญ่และสามารถผลิตสินค้าได้จำนวนมากในราคาถูกอีกทั้งระยะหลังๆ คุณภาพสินค้าจีนก็ดีขึ้นกว่าในอดีต คนทำการผลิตจึงต้องปรับเปลี่ยนการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพมากขึ้นรวมถึงต้องมีการประชาสัมพันธ์ด้วยซึ่งที่ผ่านมายังขาด
“อย่างเรื่องอาหาร เราทำแพ็กเกจอย่างดี เราจะรู้ได้อย่างไรว่าของเรามีคุณภาพ เราก็ต้องมีภาพขั้นตอนกรรมวิธีนี้สินค้าเรามีคุณภาพ เพราะฉะนั้นคนที่มาซื้อเขาก็อยากซื้อ เหมือนกัน เสื้อผ้า เราอาจจะต้องรับงานของแบรนด์ Local (ท้องถิ่น) แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเดี๋ยวนี้เราอาจต้องมีเครื่องจักรมากขึ้นกว่า 1 ตัวอาจต้องมีตั้งจักรโพ้ง จักรเย็บ จักรย้ำ อยู่ในบ้านจึงจะรับงานได้ เขาก็ต้องมาตรวจว่ามีเครื่องไม้เครื่องมือพอทำงานให้เขาได้ไหม และที่สำคัญที่สุดคืองานต้องมีคุณภาพ” ปธ.สภาองค์การนายจ้าง ผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี