"รมว.ธรรมนัส"ติดตามการบริหารจัดการน้ำคาบสมุทรสทิงพระ พร้อมเปิดสถานีสูบน้ำคลองหนัง จ.สงขลา มุ่งแก้ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2566 ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาระโนด - กระแสสินธุ์ และพบปะเกษตรกรผู้ใช้น้ำ ณ ต.บ้านตาขาว อ.ระโนด จ.สงขลา ซึ่งครอบคลุมพื้นที่คาบสมุทรสทิงพระ ในพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ได้แก่ ระโนด กระแสสินธุ์ สทิงพระ และสิงหนคร และบางส่วนของอำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช ในความรับผิดชอบของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาระโนด กระแสสินธุ์ ที่ได้บริหารจัดการและส่งน้ำสนับสนุนพื้นที่การเกษตรมาอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากพื้นที่อำเภอระโนด มีลักษณะเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ ทำให้มีน้ำท่วมขังเป็นบริเวณกว้างในช่วงฤดูฝน เกิดความเสียหายต่อพื้นที่เกษตรกรรมโดยรอบ ราษฎรได้รับความเดือดร้อนในด้านอุปโภคบริโภค อีกทั้งยังประสบปัญหาขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรในช่วงฤดูแล้งอีกด้วย
ทั้งนี้ กรมชลประทาน ได้ดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำคาบสมุทรสทิงพระ เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและการขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรบริเวณพื้นที่คาบสมุทรสทิงพระ ซึ่งมีพื้นที่รับประโยชน์ประมาณ 2,200 ไร่ โดยได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาด้านอุทกภัยในพื้นที่ อาทิ ก่อสร้างประตูระบายน้ำบ้านท่าเข็น ขุดขยายคลองศาลาหลวง ระยะทาง 2.44 กิโลเมตร ขุดขยายคลองโคกทอง - หัวคลอง ความยาว 4.663 กิโลเมตร ก่อสร้างประตูระบายน้ำคลองระโนด ขุดขยายคลองโรง ความยาว 4 กิโลเมตร ขุดขยายคลองพังยาง ความยาว 4.50 กิโลเมตร ขุดขยายคลองหนัง ความยาว 2.52 กิโลเมตร ก่อสร้างสถานีสูบน้ำสนามชัย และก่อสร้างคันกั้นน้ำบ้านเกาะใหญ่ - บ้านท่าคุระ ความยาว 3 กิโลเมตร
ด้านการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ ได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ อาทิ การเพิ่มศักยภาพคลองพลเอกอาทิตย์ฯ พร้อมอาคารประกอบ โดยขุดขยายคลอง ความยาว 37.40 กิโลเมตร การก่อสร้างสถานีสูบน้ำโคกพระและระบบส่งน้ำ การก่อสร้างสถานีสูบน้ำคลองหนัง และขุดลอกแก้มลิงชะแล้ เป็นต้น หากดำเนินการแล้วเสร็จ จะสามารถชะลอน้ำหลากในช่วงฤดูฝนได้ 32,000 ไร่ ส่งน้ำให้พื้นที่เกษตรกรรมทั้งในฤดูฝนและฤดูแล้ง 21,530 ไร่ และราษฎรได้รับประโยชน์ 1,485 ครัวเรือน สามารถเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนสำหรับการเพาะปลูกในฤดูแล้งเพิ่มขึ้นอีก 12,000 ไร
“โครงการดังกล่าว นับเป็นประโยชน์ต่อราษฎรในพื้นที่ เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำไว้อุปโภคบริโภค การขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตร และเพื่อเก็บกักน้ำไว้ใช้สำหรับการเกษตรในฤดูแล้ง พร้อมกันนี้ยังได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันเร่งแก้ไขปัญหาระยะเร่งด่วนในพื้นที่ อาทิ ปัญหาน้ำเค็มรุกน้ำจืด ที่ทำให้ชาวบ้านลุ่มน้ำทะเลสาบคาบสมุทรสทิงพระ มีน้ำจืดที่ไม่เพียงพอกับความต้องการ ปัญหาวัชพืชและสิ่งกีดขวางทางน้ำ โดยให้เร่งกำจัดวัชพืชเพื่อให้การระบายน้ำ-ส่งน้ำเป็นไปอย่างเต็มประสิทธิภาพและต่อเนื่อง บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่โดยรอบ นอกจากนี้ จะเตรียมตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนพัฒนาเขตลุ่มน้ำเพื่อบริหารจัดการน้ำให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ในพื้นที่ลุ่มน้ำที่สำคัญ ได้แก่ ลุ่มน้ำทะเลน้อย คาบสมุทรสทิงพระ และลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ต่อไป” รมว.เกษตรฯ กล่าว
นอกจากนี้ รมว.เกษตรฯ ได้เป็นประธานในพิธีเปิดประตูน้ำสถานีสูบน้ำคลองหนัง พร้อมร่วมปล่อยพันธุ์ปลาสุลต่าน จำนวน 300,000 ตัว และมอบพันธุ์ปลาให้กับผู้แทนชุมชนด้วย
จากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เดินทางไปยังหอประชุมรัตนโกสินทร์ (ศาลาประชาคมอำเภอสทิงพระ) ที่ว่าการอำเภอสทิงพระ จ.สงขลา เพื่อรับฟังปัญหาของประชาชนในพื้นที่ พร้อมมอบแนวทางการแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ ได้มีการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) จำนวน 30 ราย มอบปัจจัยการผลิต ได้แก่ ชุดผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพของกรมพัฒนาที่ดิน จำนวน 250 ชุด ชุดปัจจัยการผลิตพืช (ต้นกล้ามะเขือและสารชีวภัณฑ์) จำนวน 20 ชุด และข้าวสาร จำนวน 200 ชุด มอบเงินอุดหนุนโครงการส่งเสริมการผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์เพื่อการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล และเยี่ยมชมนิทรรศการความสำเร็จของโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และสินค้าของเกษตรกรในพื้นที่
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี