สองตายายใจสลาย ลูกสาวคนเล็กขังในบ้าน วางแผนฮุบสมบัติ เงินในบัญชี 16 ล้าน ที่ดินเขาใหญ่อีกร้อยกว่าไร่ โดนฮุบไปหมด เชื่อถูกวางยาด้วย
วันที่ 19 ตุลาคม 2566 รายการโหนกระแสวันนี้ คุยกันเรื่องสองตายาย ไปร้องกับสายไหมต้องรอด ว่าถูกลูกสาวแท้ๆ วางแผนฮุบสมบัติ เงินในบัญชีของคุณตาคุณยาย 10 กว่าล้านบาท ที่ดินร้อยกว่าไร่ ถูกโอนกรรมสิทธิ์ไปเป็นของลูกสาวคนเล็กทั้งหมด โดยคุณตาคุณยายยังเชื่อว่า ตลอด 3 ปีที่อยู่กับลูกสาวคนเล็ก ทั้งตาและยายถูกวางยาบางอย่างด้วย
คุณตาคุณยาย เล่าว่ามีลูกทั้งหมด 4 คน เสียชีวิตไป 2 คน เหลือแค่ลูกสาว 2 คน เมื่อ 2-3 ปีก่อน ในครอบครัวทะเลาะกันเรื่องขายที่ดิน ทะเลาะกันหนักจนต้องแยกกันอยู่ แต่บ้านก็ยังรั้วติดกัน คุณตาคุณยายเลือกอยู่กับลูกสาวคนเล็ก หลังจากนั้นลูกคนเล็กก็ล้อมรั้วสูง ไม่ยอมให้ฝ่ายลูกคนโตมายุ่งเกี่ยว ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมต่างคนต่างอยู่ ไม่อยากกระทบกระทั่งกัน แต่ก็จะคอยแอบมองว่าพ่อแม่อยู่อย่างไรบ้าง
ครอบครัวที่ตายายไปอยู่ในบ้านของลูกสาวคนเล็ก จะมีลูกสาว กับสามี ลูกสาวมีลูกอีก 2 คน ซึ่งตายายรักหลานมาก หลานเรียนเก่ง เคยให้รางวัลหลาน 1 ล้านบาท เพราะเห็นว่าหลานเป็นเด็กดี เรียนเก่ง มารู้ทีหลังว่า ลูกสาวกับลูกเขย ไปเปลี่ยนชื่อทรัพย์สินของตายายเป็นชื่อเขาหมด
ขณะที่คุณพัด ซึ่งเป็นหลานสาว ที่อยู่รั้วติดกัน ที่เข้าไปช่วยเหลือคุณตาคุณยายออกมาได้ คุณตาคุณยายเล่าว่า ถูกปล่อยให้อยู่กันตามบุญตามกรรม โดยคุณยายเล่าว่า ตอนที่อยู่กับลูกสาวคนเล็ก ทั้งลูกสาวทั้งลูกเขย จะด่าเราเป็นหมูเป็นหมา พูดอะไรกับเราสารพัด ลูกสาวคนเล็กจะขังไว้ไม่ให้ตายายออกไปไหนเลย ล้อมรั้วสูง ไปไหนนิดๆ หน่อย ก็จะให้ลูกเขยไปตามเอาเรากลับเข้าบ้าน จะออกไปซื้อกับข้าว ลูกสาวก็ไปสั่งพ่อค้าแม่ค้าไม่ให้ขายให้ ยายเดินเหินไม่สะดวกอยู่แล้ว แต่ก็ยังปล่อยให้คุณตาคุณยายดูแลกันเอง อาบน้ำกันเอง บางครั้งต้องออกมาอาบน้ำกันนอกบ้าน แม่ของคุณพัดขึ้นบ้านชั้นสอง มองข้ามรั้วมาเห็นก็เวทนา สงสัยว่าทำไมเขาถึงปล่อยให้ตายายมาอยู่กันแบบนี้
คุณพัดบอกว่า ลูกสาวจะไปปล่อยข่าวกับเพื่อนบ้านว่า คุณตาคุณยายสติไม่ดี หลงลืมแล้ว ให้ช่วยเป็นหูเป็นตาให้หน่อย พอคุณตาคุณยายหนีออกจากบ้านได้ เพื่อนบ้านก็จะโทรบอกลูกสาวตลอด จนหนีไม่เคยสำเร็จเลย
คุณตาเล่าว่า ตนมีโรคประจำตัวคือเส้นเลือดในสมองตีบ หมอให้ยามาทาน แต่เนื่องจากคุณตาอ่านหนังสือไม่ออก ทำให้ต้องให้ทางครอบครัวเป็นผู้จัดยาให้ทุกวัน แต่อยู่ๆ มา ก็มีอาการแปลกๆ กินยาไปแล้วคอแห้งมาก อยากอาเจียน เหมือนมีอะไรมาจุกที่คอ ส่วนคุณยายหนักถึงหน้าผิวเหลือง อาเจียน หนักสุดคือชัก
จนมีอยู่วันหนึ่ง คุณยายมานอนข้างรั้วบ้าน แล้วร้องไห้เสียงดัง เรียกชื่อลูกสาวคนโต ที่อยู่บ้านติดกัน ลูกสาวก็มานั่งคุยกับแม่ข้างรั้ว ถามว่าเป็นอะไร ยายบอกว่าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว จะขอไปอยู่กับลูกสาวคนโตได้ไหม แต่ยังไม่ทันคุยรู้เรื่อง ลูกเขยก็มาตามคุณยายเข้าบ้านไป พูดจาไม่ดีกับคุณยายด้วย
ต่อมาไม่นาน เขาก็ยอมปล่อยให้คุณยายเดินออกจากบ้านมาเอง คุณยายมาอยู่กับลูกสาวคนโต แล้วบอกว่าจะไม่กลับไปอยู่กับลูกคนเล็กอีก ขอตายที่นี่ ใครมาตามกลับก็ไม่ยอม โดยหลังจากคุณยายออกมาได้ มาอยู่กับลูกสาวคนโตได้ประมาณ 10 วัน คุณตาก็ประกาศว่า จะไม่อยู่กับลูกสาวคนเล็กแล้วเหมือนกัน แล้วออกมาจากบ้าน ตามไปอยู่กับลูกสาวคนโตเหมือนกัน คุณพัดเล่าว่า หลังจากที่คุณตาออกมาได้แล้ว วันรุ่งขึ้นลูกสาวคนเล็กเขาก็ไปถอนเงินออกจากบัญชีตัวเอง ออกไปจนเกลี้ยงบัญชีเลย
คุณตาเล่าว่า ตนมีเงินสดในบัญชีธนาคาร 13 ล้านบาท ส่วนคุณยายมี 3 ล้าน ลูกสาวคนเล็กพาไปธนาคาร อ้างว่าจะไปเบิกดอกเบี้ยมาใช้จ่าย แต่ด้วยความที่คุณตาคุณยายอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ จึงใช้วิธีพิมพ์ลายนิ้วมือ พอพิมพ์เสร็จ ก็ถอนเงินดอกเบี้ยออกมาให้คุณตาคุณยายถือไว้ 2 หมื่นกว่าบาท แต่เงินที่เหลือรวม 16 ล้านของทั้งสองบัญชี ถูกโอนเข้าบัญชีลูกสาวทั้งหมด โดยที่ตายายไม่รู้เรื่องเลย
ขณะที่คุณพัดเล่าเรื่องการฮุบที่ดินว่า ลูกสาวคนเล็กอ้างว่าที่ดินร้อยกว่าไร่ที่เขาใหญ่ คุณตาให้เขาด้วยความสเน่หา แต่พอมาตรวจสอบจริงๆ พบว่าที่ดินนี้ถูกเอาไปโอนกรรมสิทธิ์เป็นของลูกสาวคนเล็ก แล้วเขาเอาที่ดินไปจำนองได้เงินมาหลายล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้ นายกองตรี ดร ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯประจำรองนายกรัฐมนตรี บอกว่าต้องไปตรวจสอบความจริงให้ปรากฏให้ได้ ว่ามีการฉ้อฉลให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือไม่ มีการวางยาให้ตายายสูญเสียสติรู้ตัว หรือกลายเป็นบุคคลเสมือนไร้ความสามารถหรือไม่ ซึ่งการถูกวางยามันตรวจสอบหาสารที่ตกค้างในร่างกาย ในเส้นผมได้อยู่แล้ว
โดยก่อนที่คุณตาคุณยายจะหนีออกมา ลูกสาวคนเล็กได้ยื่นต่อศาล ขอเป็นผู้อนุบาล เพราะคุณตาคุณยายมีปัญหาทางสมอง เลอะเลือน แต่หลังจากนั้นไม่นาน คุณตาคุณยายออกมาอยู่กับลูกสาวคนโตได้ ทำให้มีการพาคุณตาคุณยายไปตรวจสุขภาพร่างกาย จนมีหลักฐานแสดงต่อศาลได้ว่า คุณตาคุณยายสมองปกติดี ไม่ต้องมีผู้อนุบาลแต่อย่างใด
ขณะที่ นายกองตรี ดร ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯประจำรองนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ทรัพย์สินทุกอย่าง ถ้าพิสูจน์เอาไปโดยฉ้อฉล ต้องได้คืนทั้งหมด ถึงแม้ทรัพย์สินที่ให้โดยสเน่หา แต่ถ้าลูกหลานเนรคุณ ไม่เลี้ยงดู ไม่ดูแล ไปร้องศาล ศาลท่านก็สั่งให้คืนทั้งหมด เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงเลย รอแค่พิสูจน์ความจริง สารต่างๆ ในร่างกายของคุณตาคุณยายก็พอ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี