ด่วน!ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน‘ยกฟ้อง’กลุ่มพันธมิตรฯปิดล้อมสภาปี 51 ขับไล่‘นายกฯสมัคร สุนทรเวช’ลาออกจากตำแหน่ง ขวางการประชุมสภาแถลงนโยบายของ‘นายกฯสมชาย วงศ์สวัสดิ์’ และคณะ ศาลชี้ เป็นการประชุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ตามหลักอหิงสา ตามสิทธิรัฐธรรมนูญ 2550
เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 ที่ห้องพิจารณา 806 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีพันธมิตร ชุมนุม หมายเลขดำ อ.4924/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล อายุ 70 ปีเศษ อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กับพวกรวม 21 คน ซึ่งเป็นอดีตแกนนำและแนวร่วม พธม. เป็นจำเลยที่ 1-21 ในความผิดฐานร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีการอื่นใดอันมิใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือ กระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน
เป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่ง อย่างใดทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยผู้กระทำมีอาวุธ และเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิกมั่วสุม, ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116, 215, 216, 309, 310
กรณีช่วงเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551 กลุ่ม พธม. เคลื่อนการชุมนุมจากทำเนียบรัฐบาล ไปปิดล้อมรอบอาคารรัฐภา ไม่ให้รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ประชุมแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
อัยการโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อเดือน ธ.ค. 2555 ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 5 - 7 ตุลาคม 2551 จำเลยและกลุ่ม พธม. จำนวนหลายพันคน ร่วมมั่วสุมภายในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งตั้งเวทีปราศรัย และได้ยุยงปลุกปั่นให้กลุ่ม พธม. ทั้งประเทศไปรวมตัวปิดล้อมรัฐสภาไม่ให้ ส.ส. ส.ว. และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เข้าร่วมประชุมสภา โดยวันที่ 7 ตุลาคม 2551 กลางวัน จำเลยกับพวกใช้รถยนต์บรรทุก 6 ล้อติดเครื่องขยายเสียงเคลื่อนพร้อมนำลวดหนามชนิดหีบเพลง และแผงกั้นเหล็กยางรถยนต์ผ่านไปลานพระบรมรูปทรงม้าเพื่อขวางบริเวณรอบรัฐสภาทำให้ประชาชนไม่สามารถผ่านไปได้ และปราศรัยปลุกระดมให้ล้อมรัฐสภา เป็นเหตุเหตุให้ ส.ส.และ ส.ว. บางส่วนเดินทางเข้าไปประชุมสภาไม่ได้
จำเลยกับพวกยังร่วมกันข่มขืนใจนายสุริยา ปันจอร์ อดีต ส.ว.สตูล, นายมณฑล ไกรวัตนุสรณ์ อดีต ส.ส.สมุทรสาคร พรรคเพื่อไทย, นายปัญญา ศรีปัญญา อดีต ส.ส.ขอนแก่น พรรคภูมิใจไทย และข้าราชการฝ่ายการเมืองหลายคน โดยไล่ให้กลับบ้านและขู่ให้กลัวว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต และยังมีการโห่ร้อง ด่าทอ ใช้หนังสติ๊ก อาวุธปืนยิง มีดฟัน ใช้ปลายธงทำด้วยเหล็กปลายแหลมแทงเจ้าหน้าที่รับบาดเจ็บสาหัส 1 คน แถมยังมีการนำโซ่ไปล็อกกุญแจทางเข้า – ออกสภาทุกด้าน พร้อมประกาศขู่ว่าหากไม่ยุบสภาในเวลา 18.00 น. จะจับตัวประธานสภาและประธานวุฒิสภา รวมทั้งสมาชิกทั้งหมด ซึ่งสมาชิกรัฐสภาบางส่วนได้ปีนกำแพงหนีออกทางด้านพระที่นั่งวิมานเมฆ ขณะที่เจ้าหน้าที่หลายคนถูกขังอยู่เป็นเวลาหลายชั่วโมง
ต่อมาเวลากลางคืน จำเลยกับพวกยังได้ปราศรัย ยุยงให้กลุ่ม พธม. จำนวนหลายพันคน โดยมีอาวุธ มีด ปืน ไม้กระบอง ธง หนังสติ๊ก ฯลฯ เคลื่อนไปหน้าอาคารรัฐสภาและปิดล้อมทางเข้าออก และได้นำน้ำมันราดบนถนนหน้ารัฐสภาและขู่ว่าจะใช้กำลังประทุบร้าย ส.ส.และ ส.ว. รวมทั้งใช้รถกระบะ ทะเบียน วพ1968 กทม. ที่ขับขี่โดยนายปรีชา ตรีจรูญ ขับรถพุ่งไล่ชนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ได้รับบาดเจ็บหลายราย ซึ่งอัยการได้แยกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลไปแล้ว
พวกจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง อัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ขอให้ลงโทษพวกจำเลย
วันนี้นายสนธิ, นายพิภพ, นายสมศักดิ์, นายวีระ,นายสุริยะใส น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก และแกนนำทั้งหมดเดินทางมาฟังคำพิพากษา โดยมีผู้สนับสนุนและผู้ใกล้ชิดมาร่วมให้กำลังใจ
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนปรึกษาหารือแล้วมีข้อวินิจฉัยตามที่โจทก์อุทธรณ์ว่าการชุมนุมของกลุ่มพธม.เป็นไปโดยสงบและชอบธรรมหรือไม่ เห็นว่า การชุมนุมของกลุ่มฯเป็นการชุมนุมเพื่อต่อต้านรัฐบาลที่นำโดยนายสมัคร สุนทรเวช และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต่อต้านการทุจริตต่อจากยุคของนายทักษิณ ชินวัตร และประกาศว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 239 และ มาตรา 309 เพื่อช่วยให้นายทักษิณไม่ถูกยึดทรัพย์ 6.4 พันล้านบาท และไม่ต้องรับโทษจำคุก 2 ปี คดีทุจริตซื้อที่ดินรัชดาฯ และมีนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ 42 แห่ง เป็นบริษัทมหาชน สร้างความเสียหายให้กับประเทศ จะเห็นได้ว่ามีนโยบายหลายๆข้อที่ทำให้คนจากหลายภาคส่วนไม่พอใจ จึงได้ออกมาโต้แย้งคัดค้าน โดยการชุมนุมเพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ของชาติ ตั้งแต่ เดือน พฤษภาคม 2551 จนถึงวันที่ถูกสลายการชุมนุมวันที่ 7 ตุลาคม2551 โดยจำเลยที่ 1-2,4-21 ได้กล่าวเน้นย้ำให้ชุมนุมด้วยความสงบ ห้ามนำอาวุธเข้ามา และไม่มีการวางแผนทำผิดกฎหมาย เป็นการแสดงออกตามสิทธิเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าสลายการชุมนุมตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ลักษณะจู่โจมโดยที่ผู้ชุมนุมไม่ทันตั้งตัวจนเกิดความวุ่นวาย จนผู้ชุมนุมวิ่งหลบหนี บางส่วนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงแก๊สน้ำตา เป็นการปฏิบัติข้ามขั้นตอน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่าได้ประสานขอรถน้ำจาก กทม.แต่ไม่ได้รับการร่วมมือส่งรถน้ำมาให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มผู้ชุมนุม พธม. ได้รับบาดเจ็บสาหัสหลายราย บางรายถึงขั้นเสียชีวิต ทำให้ผู้ชุมนุมบางส่วนไม่พอใจและหันมาตอบโต้ตำรวจโดยยิงหนังสติ๊ก ปลายธงแหลม กระบองและหนังสติ๊กใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเป็นการกระทำของผู้ชุมนุมบางคน โดยไม่มีใครสั่งการ ถือว่าเป็นการกระทำส่วนตัวมิอาจนำมาถือเป็นเจตนาของทุกคนในกลุ่มผู้ชุมนุมได้
ขณะที่ฝ่ายโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันว่า พวกจำเลยชุมนุมโดยไม่สงบ และไม่อาจชี้ได้ว่า จำเลยที่ 1-2,4-21 เป็นผู้สั่งการ แต่ความวุ่นวายเกิดมาจากการเริ่มยิงแก๊สน้ำตาของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)เห็นว่าเจ้าหน้าที่กระทำขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน มีการยิ่งแก๊สน้ำตาจำนวนมาก เกินความจำเป็น อีกทั้งศาลปกครองสูงสุดได้มีคำวินิจฉัยว่าการะทำของเจ้าหน้าที่เป็นการกระทำละเมิดต่อกลุ่มผู้ชุมนุมตามสิทธิมนุษยชน ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550
การกระทำของ จำเลยทั้งหมด จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215,216 309, 310 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยมานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนยกฟ้อง
ภายหลังศาลพิพากษายกฟ้องแล้ว นายประพันธ์ คูณมี สมาชิกวุฒิสภา จำเลยในคดีนี้ ได้เปิดเผยว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 นั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เหตุการณ์ความวุ่นวาย ที่เกิดขึ้นมาจากตำรวจใช้กำลังและแก๊สน้ำตาสลายการชุมนุม โดยที่ผู้ชุมนุมไม่ทันตั้งตัวและไม่ได้เตรียมการมาเพื่อก่อเหตุความรุนแรง ซึ่งก่อนเกิดเหตุนั้นการชุมนุมก็เป็นไปด้วยความสงบไม่ได้เกิดความวุ่นวายแต่อย่างใด อีกทั้งการสลายการชุมนุมไม่ได้เป็นไปตามขั้นตอน คือ ไม่ได้มีการประกาศเตือน เจรจา หรือใช้รถน้ำ
ส่วนอัยการโจทก์จะยื่นฎีกาต่อหรือไม่นั้น ก็อยากขอความเป็นธรรมไปยังอัยการสูงสุด เพื่อขอให้พนักงานอัยการโจทก์ไม่ยื่นฎีกา
สำหรับจุดยืนทางการเมืองของกลุ่มพันธมิตรฯจากนี้นั้น ปัจจุบันแกนนำก็ได้สลายตัวกันไปหมดแล้ว การชุมนุมทางการเมืองที่จะมีขึ้นในอนาคตนั้น เป็นเรื่องของกลุ่มอื่น ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาชนและประชาธิปไตยแต่อย่างใด เพราะที่ผ่านมา ได้ทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองมามากพอแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับจำเลยทั้งหมดประกอบด้วย 1.นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พธม. 2.นายพิภพ ธงไชย 3.นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ (เสียชีวิต) 4.นางมาลีรัตน์ แก้วก่า 5.นายประพันธ์ คูณมี 6.นายสมศักดิ์ โกศัยสุข 7.นายสุริยะใส กตะศิลา 8.นายอมร อมรรัตนานนท์ หรือนายรัชต์ยุตม์ ศิรโยธินภักดี 9.นายสำราญ รอดเพชร 10.นายศิริชัย ไม้งาม
11.นายสาวิทย์ แก้วหวาน 12.นายพิชิต ไชยมงคล 13.นายอำนาจ พละมี 14.นายกิตติชัย ใสสะอาด 15.นายประยุทธ วีระกิตติ 16.นายสุชาติ ศรีสังข์ 17.นายสมบูรณ์ ทองบุราณ อายุ 61 18.นายศุภผล เอี่ยมเมธาวี อดีตแนวร่วม พธม. 19.น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก อดีตแนวร่วม พธม. 20.นายพิเชฐ พัฒนโชติ อดีตรองประธานวุฒิสภา 21. นายวีระ สมความคิด นักสิทธิมนุษยชน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี