วันอาทิตย์ ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ในประเทศ
'สช.'ผนึก'อบจ.สงขลา-มรภ.สงขลา-ภาคี' ใช้ 'เติมสุขโมเดล' พัฒนาระบบสุขภาพรองรับถ่ายโอนฯ จ.สงขลา

'สช.'ผนึก'อบจ.สงขลา-มรภ.สงขลา-ภาคี' ใช้ 'เติมสุขโมเดล' พัฒนาระบบสุขภาพรองรับถ่ายโอนฯ จ.สงขลา

วันศุกร์ ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566, 16.04 น.
Tag : ภาคี มรภ.สงขลา สช. อบจ.สงขลา
  •  

สช. จับมือ ‘อบจ.สงขลา – มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา-ภาคีเครือข่ายในจังหวัด’ สร้างความร่วมมือพัฒนาระบบบริการสาธารณะที่มีคุณภาพภายใต้ “เติมสุขโมเดล” นำร่อง 2 Sandbox ใน 2 อำเภอ ‘รพ.สต.เกาะใหญ่ อ.ควนเนียง - รพ.สต.รำแดง อ.สิงหนคร’ จัดตั้งศูนย์ One Stop Service ดูแลประชาชนทั้งมิติด้านสุขภาพ-สังคมอย่างครบวงจร บนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน พร้อมพัฒนาฐานข้อมูลกลาง-ขนส่งสาธารณะ เพิ่มการเข้าถึงบริการ ภายใต้บริบทการถ่ายโอนภารกิจ รพ.สต.

เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2566 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) พร้อมด้วย องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา(อบจ.สงขลา) และหน่วยงานภาคีเครือข่ายกว่า 20 องค์กร ร่วมกันทำพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การอภิบาลระบบสุขภาพท้องถิ่นภายใต้บริบทการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้แก่ อบจ.สงขลา โดยมุ่งเน้นการวิจัยเพื่อการพัฒนาที่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เชื่อมประสานมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา (มรภ.สงขลา) ที่เป็นมหาวิทยาลัยเพื่อการบริการท้องถิ่น ทำหน้าที่ศึกษาวิเคราะห์ปรากฏการณ์พื้นที่ ร่วมกับแกนนำสมัชชาสุขภาพจังหวัด ทำหน้าที่จัดการะบวนการมีส่วนร่วม สร้างกลไกการอภิบาลระบบสุขภาพท้องถิ่นและการจัดทำนโยบายสาธารณะระดับพื้นที่สู่การพัฒนาพื้นที่นำร่อง (Sandbox) ภายใต้แนวคิด “เติมสุขโมเดล” ในพื้นที่ 2 อำเภอ คือ อ.ควนเนียง และ อ.สิงหนคร โดยที่ อ.ควนเนียง จะนำร่องใน รพ.สต.เกาะใหญ่ ส่วน อ.สิงหนคร จะนำร่องใน รพ.สต.รำแดง เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงระบบบริการสาธารณะที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง เท่าเทียม และยั่งยืน


 

นายไพเจน มากสุวรรณ์ นายก อบจ.สงขลา ในฐานะประธานในพิธี เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ อบจ.สงขลา ได้รับถ่ายโอนภารกิจ รพ.สต. ในปี 2566 จำนวน 23 แห่ง และในปี 2567 จำนวน 26 แห่ง รวมปัจจุบันเป็น 49 แห่ง ต้องยอมรับว่าในช่วงระยะเปลี่ยนผ่านนั้นต้องเผชิญกับปัญหาหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องของบุคลากร งบประมาณ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง ฯลฯ ซึ่งเป็นปัญหาที่ใกล้เคียงกันใน อบจ. หลายแห่ง ด้วยทิศทางนโยบายและการสนับสนุนจากส่วนกลางที่อาจยังไม่ชัดเจน จึงเป็นปัญหาที่ต้องอาศัยหลายภาคส่วนในการร่วมกันแก้ไขปัญหา

นายไพเจน กล่าวว่า ที่ผ่านมา อบจ.สงขลา มีความมุ่งมั่นในการจัดบริการสาธารณะด้านสุขภาพของท้องถิ่นมาอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นในด้านการแพทย์ฉุกเฉิน การพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ การดูแลผู้สูงอายุ จนเกิดความเข้มแข็งอย่างเป็นรูปธรรม เช่น ศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการ 1669 กองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพจังหวัดสงขลา และศูนย์บริบาลผู้สูงอายุ อบจ.สงขลา ซึ่งได้รับการยอมรับเป็นต้นแบบระดับประเทศ โดยหลังจากนี้ ทาง อบจ.สงขลา ได้วางทิศทางนโยบายต่อไปในรูปแบบ “เติมสุขโมเดล”

สำหรับ “เติมสุขโมเดล” จะเป็นการพัฒนาระบบบริการสาธารณะครบวงจร ในรูปแบบ One stop service ครอบคลุมทั้งมิติด้านสุขภาพและมิติด้านสังคม ผ่านกลไกการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในพื้นที่ในการเข้ามาร่วมกันเติมเต็มระบบบริการ ตามบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบแบบไร้รอยต่อ บนฐานข้อมูลกลางเดียวกัน พร้อมการพัฒนาระบบการขนส่งสาธารณะเพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการ โดยสนับสนุนให้ภาคประชาชนและภาคเอกชนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบบริการ เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ จากระบบบริการสาธารณะที่เกิดขึ้นภายใต้ต้นทุนทางสังคมที่มีอยู่ในพื้นที่

“การจัดตั้งศูนย์บริการเติมสุข จะดำเนินการนำร่องในพื้นที่ อ.ควนเนียง และ อ.สิงหนคร โดยจัดบริการแบบ One stop service ซึ่งมีทั้งการฟื้นฟูสมรรถภาพในชุมชน คลินิกกายภาพ คลินิกแพทย์แผนไทย คลินิกผู้สูงอายุ ศูนย์การเรียนรู้การแพทย์ฉุกเฉิน และศูนย์บริการช่วยเหลือประชาชนในด้านต่างๆ ภายใต้การพัฒนาระบบฐานข้อมูลกลางร่วมกับทุกภาคส่วนในพื้นที่ เพื่อนำข้อมูลมาใช้ร่วมกันอย่างเป็นระบบ ในขณะที่ปัญหาการเข้าไม่ถึงบริการเนื่องจากไม่มีญาติหรือผู้ดูแลมาส่ง ทาง อบจ. ก็จะสนับสนุนรถบริการรับ-ส่งสาธารณะให้กับประชาชนในพื้นที่ด้วย” นายไพเจน กล่าว

 

ขณะที่ นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า เป็นที่ทราบดีว่าการกระจายอำนาจถือเป็นทิศทางที่ประเทศจะต้องมุ่งหน้าไป โดยเฉพาะการทำให้บริการสาธารณะขั้นพื้นฐานเข้าไปอยู่ภายใต้การดูแลของท้องถิ่น อย่างไรก็ตามในบริการด้านสุขภาพ กรณีของการถ่ายโอนภารกิจ รพ.สต. ที่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า อบจ. สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.)รวมถึง รพ.สต. อาจต้องรับมือกับภาระและปัญหาในหลายๆ เรื่องที่ทางส่วนกลางอาจยังหาข้อสรุปร่วมกันไม่ได้

นพ.สุเทพ กล่าวว่า ในส่วนของ สช. จึงได้มีการดำเนิน “โครงการการศึกษาและพัฒนากลไกความร่วมมือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่ออภิบาลระบบสุขภาพท้องถิ่นภายใต้บริบทการถ่ายโอน รพ.สต. ให้แก่ อบจ.” ร่วมกับสำนักงานวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เพื่อศึกษาบริบทความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในพื้นที่นำร่อง 6 จังหวัด คือ เชียงใหม่ ปทุมธานี นครราชสีมา ขอนแก่น สงขลา และภูเก็ต เพื่อพัฒนาให้เกิดเป็นชุดความรู้ ข้อเสนอ ที่จะนำไปสู่การขยายผลท้องถิ่นที่สามารถจัดบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิได้ตรงกับปัญหาของประชาชนในพื้นที่ได้

“ด้วยเราเชื่อว่าคนที่รู้ปัญหาของพื้นที่ได้ดีที่สุด ก็คือคนปฏิบัติงานในพื้นที่ ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดของเรื่องนี้จึงจำเป็นที่จะต้องขับเคลื่อนด้วยการมีส่วนร่วมและองค์ความรู้ โดยอาศัยหลักคิดที่เอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่ง อบจ.สงขลา เองก็ถือเป็นพื้นที่ตัวอย่างแห่งหนึ่งของการพัฒนาระบบบริการระดับท้องถิ่น ผ่านกลไกความร่วมมือที่หลากหลาย และเชื่อว่าความร่วมมือจากการศึกษาร่วมกันครั้งนี้ จะมีส่วนในการขับเคลื่อนเชิงนโยบาย และเป็นคำตอบให้กับพื้นที่อื่นๆ ของประเทศต่อไปได้” นพ.สุเทพ กล่าว

 

ด้าน รศ.ดร.วีระศักดิ์ เครือเทพ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในฐานะหัวหน้าทีมวิจัยโครงการฯ กล่าวว่า โจทย์ท้าทายของการถ่ายโอนภารกิจ รพ.สต. ในครั้งนี้ คือความสำเร็จที่จะทำให้ประชาชนได้รับการดูแลที่ดีขึ้น เมื่อระบบการจัดการมาอยู่ที่ชุมชน และประชาชนมีส่วนร่วม ขณะเดียวกันท้องถิ่นเองก็จำเป็นที่จะต้องยกระดับความสามารถในเชิงการบริหารระบบบริการ การดูแลสุขภาพประชาชน ตลอดจนความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคประชาสังคม ภาคเอกชน ฯลฯ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าท้องถิ่นสามารถทำให้ระบบสุขภาพปฐมภูมิดีขึ้นกว่าเดิมได้

รศ.ดร.วีระศักดิ์ กล่าวว่า ภายใต้การไปให้ถึงเป้าหมายดังกล่าว สิ่งที่จำเป็นต้องทำคือ 1. ระบบความร่วมมือและประสานงาน ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ชุมชนกับท้องถิ่น แต่ยังรวมถึงภาคประชาสังคม ภาควิชาการ ฯลฯ 2. ใช้กลไกที่มีอยู่อย่างคณะกรรมการสุขภาพระดับพื้นที่ (กสพ.) เข้ามาสนับสนุนสร้างการมีส่วนร่วม 3. การตั้งตัวชี้วัด รพ.สต. โดยท้องถิ่นเอง ให้สามารถจัดบริการสุขภาพแก่ประชาชนได้อย่างตรงจุดบนทิศทางที่กำหนดร่วมกันในพื้นที่ 4. การใช้เทคโนโลยีเพื่อทำให้เกิดบริการสุขภาพดีขึ้น หรือเข้าถึงประชาชนมากขึ้น เช่น ระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine)

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • มรภ.สงขลา อบรมผักยกแคร่ภูมิปัญญาแก้น้ำท่วมแปลงผัก มรภ.สงขลา อบรมผักยกแคร่ภูมิปัญญาแก้น้ำท่วมแปลงผัก
  •  

Breaking News

สุดใจแล้ว! 'บาส-เฟม'คว้ารองแชมป์เจแปนโอเพ่น

นักวิชาการหนุนรัฐใช้กฎกระทรวงคุมเข้มการเงินวัด ชี้เป็นการแก้ปัญหาตรงจุด

เหตุผลสำคัญ’หงส์’กางปีก: ‘เศรษฐีใหม่’หรือแค่’รู้จักใช้เงิน’

เช็กเลย 19 แพลตฟอร์ม ต้องบอกมาตรฐานสินค้าที่ขายในเว็บ

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved