เมื่อเวลา 21.40 น. วันที่ 30 พ.ย. ร.ต.ท.เวทิศ สิงหะ รอง สว.(สอบสวน) สน.บางซื่อ รับแจ้งเหตุมีผู้เสียชีวิตจากการตกที่สูงภายในแฟลตสวัสดิการข้าราชการทหารกองทัพภาคที่ 1 ถ.พหลโยธิน แขวงสามแสนใน เขตพญาไท กทม. จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบก่อนรุดไปตรวจตรวจพร้อมเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานกลาง แพทย์นิติเวช รพ.ตำรวจ อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู
ที่เกิดเหตุมีรั้วรอบขอบชิด ทางเข้า-ออกมีเจ้าหน้าที่ทหารตรวจสอบตลอดเวลาไม่อนุญาตให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าพื้นที่เด็ดขาด ภายในบริเวณอาคาร ส.2 ทภ.1 สูง 4 ชั้น บนดานฟ้ามีห้องไม่ได้ล็อคภายในเป็นบ่อทิ้งขยะที่ไม่ได้เปิดให้ใช้งานนานแล้ว มีความกว้าง 3*3 เมตร ปากบ่อกว้าง 3*1 เมตร ลึก 15 เมตร มองลงไปล่างสุดพบศพน.ส.แอน อายุ 36 ปี สภาพนอนคว่ำหน้าแขนขาหักผิดรูป ใส่เสื้อแขนยาวสีขาว กางเกงขายาวสีดำ สะพายกระเป๋าใบเล็กสีน้ำตาล ไม่ใส่รองเท้า เจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญูไม่สามารถโรยตัวลงไปเก็บศพได้เพราะมีเสี่ยงสูง ต้องใช้เครื่องเจาะคอนกรีตกับกำแพงข้างๆบันไดให้ทะลุเพื่อนำร่างออกมา จากการตรวจสอบเบื้องต้นตามร่างกายเริ่มเน่าเปื่อยไม่พบบาดแผล ภายในกระเป๋าสะพายข้างไม่มีโทรศัพท์มีเพียงถุงยางอนามัยที่ยังไม่ได้ใช้งานหลายชิ้น เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจนำร่างไปการชันสูตรพลิกศพหาสาเหตุการเสียชีวิตต่อไป
รานงานข่าวแจ้งว่า ได้สอบถามสามีผู้ตายให้การว่า ก่อนเกิดเหตุช่วงค่ำวันที่ 27 พ.ย. วันลอยกระทง ตนดื่มสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนทหาร ส่วนภรรยาก็ดื่มสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนภรรยาทหาร ซึ่งอยู่ภายในแฟลตดังกล่าว ตกดึกภรรยาบอกให้ตนกลับห้องพักไปดูลูกก่อนแล้วจะตามไปภายหลัง เวลาผ่านไปนานตนก็ได้พยายามโทรหาแต่ก็ไม่มีคนรับสาย ได้เรียกกลุ่มเพื่อนและช่วยกันตามหาจนเกือบเช้าแต่ก็ไม่พบตัวจากนั้นได้ไปลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน กระทั่งวันนี้มีคนได้กลิ่นเน่าเหม็นบริเวณบันไดขึ้นไปดูพบเป็นศพดังกล่าว
จากการตรวจสอบเบื้องต้นห้องขยะดังกล่าวปกติจะล็อคไว้ตลอด แต่ช่วงนี้มีแรงงานต่างด้าวมาซ่อมหลังคาจึงไม่ได้ล็อคไว้ ตำรวจได้ตั้งประเด็นไว้ว่า อาจถูกชิงทรัพย์แล้วฆาตกรรมอำพรางศพ เนื่องจากเมื่อ 2 วันก่อนจีพีเอสมือถือผู้ตายไปสิ้นสุดถนนบางนา-ตราด มุ่งหน้าจ.สมุทรปราการ ก่อนจะหายไป อีกประเด็นผู้ตายอาจไปเคลียร์เงินกับลูกหนี้เพราะมีการให้ยืมเงินแล้วไม่ได้คืนจึงถูกฆาตกรรมอำพรางศพ ซึ่งจะต้องสืบสวนสอบสวนว่าผู้ตายขึ้นไปอย่างไรและตกในบ่อขยะได้อย่างไร หากสอบตรวจพยานแวดล้อมเพิ่มเติมพบประเด็นอื่นๆทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการสืบสวนสอบสวนต่อไป
พ.ต.อ.ภูวดล อุ่นโพธิ ผกก.สน.บางซื่อ เปิดเผยความคืบหน้ากรณีพบศพ น.ส.แอน อายุ 36 ปี เจ้าของร้านของชำในแฟลตทหาร กองทัพภาคที่ 1 ภายในบ่อขยะ ในค่าย หลังหายตัวไปตั้งแต่คืนวันลอยกระทง ว่า ขณะนี้ชุดสืบสวนกำลังประชุมเครียดเพื่อติดตามความคืบหน้าของคดี หลังเมื่อคืนเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ ก่อนนำศพส่งสถาบันนิติเวชวิทยา รพ.ตำรวจ พร้อมได้สอบปากคำพยานแล้วนับสิบปาก รวมถึงกลุ่มเพื่อนสามีที่เป็นทหารที่ร่วมวงดื่มเหล้าในคืนวันเกิดเหตุด้วย อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังสรุปสาเหตุการเสียชีวิตไม่ได้ว่ามาจากปัญหาใด ส่วนประเด็นที่ญาติผู้ตายให้ข้อมูลไว้ว่า เจ้าตัวป่วยเป็นมะเร็งไทรอยด์ระยะที่ 3 นั้น ยังไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ตำรวจยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง
ล่าสุดวันนี้ นายเสฎฐวุฒิ อายุ 31 ปี น้องชายของ น.ส.แอน ผู้เสียชีวิต เดินทางมาขอใบบันทึกประจำวันกับพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ เพื่อนำไปขอรับศพที่สถาบันนิติเวช รพ.ตำรวจ กลับไปประกอบพิธีทางศาสนา
โดยนายเสรฎฐวัฒิ (น้องชายผู้เสียชีวิต) กล่าวให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ว่า ปกติแล้วพี่สาวจะพักอาศัยอยู่ที่แฟลตตึกเดี่ยว ลักษณะเป็นห้องครอบครัว ภายใน แยกเป็นห้องพัก 2 ห้อง มีพี่สาว สามีและลูกชายวัย 2 ขวบ พักอยู่ห้องเดียวกัน ส่วนตนเองจะพักอีกห้องหนึ่ง โดยพี่สาวเปิดร้านขายของชำอยู่ที่ตึกนั้น ส่วนตึกที่พบศพพี่สาวอยู่คนละตึกเรียกว่าตึกคู่ ซึ่งในอดีตพี่สาวเคยพักอยู่ที่ตึกนี้ แต่ย้ายออกมาได้ประมาณ 2-3 ปีแล้ว ปัจจุบันปกติแล้วพี่สาวไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปตึกนั้นเลย อีกทั้งจุดที่พบศพพี่สาว ก็อยู่คนละฝั่งกับห้องที่พี่สาว
อย่างไรก็ตาม ตนได้ข้อมูลจากตำรวจว่า พบภาพวงจรปิดเห็นพี่สาวของตนเดินไปที่ตึกนั้น ในลักษณะท่าทางปกติ และมีการหันมองออกมาเหมือนว่ามีคนจะเรียก ก่อนที่พี่สาวจะหันกลับไปและเดินขึ้นตึกที่เสียชีวิตเหมือนเดิม ก่อนจะหายตัวไปและพบเป็นศพในเวลาต่อมา อีกทั้งมีภาพวงจรปิดอีกมุม แสดงให้เห็นว่า พี่สาวออกจากห้องน้ำและหยิบโทรศัพท์ใส่ในกระเป๋าเสื้อ แต่ปรากฏว่าที่ศพของพี่สาวโทรศัพท์หายไป
ตนเชื่อว่าการเสียชีวิตของพี่สาวมีเงื่อนงำและยังติดใจในการเสียชีวิต ไม่เชื่อว่าเป็นการฆ่าตัวตาย แม้ว่าพี่สาวจะมีปัญหาด้านสุขภาพเป็นโรคมะเร็งไทรอยด์ระยะที่ 3 แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้พี่สาวต้องเครียดหรือกังวล เพราะที่ผ่านมาพี่สาวก็รักษาตัวอย่างดีมาโดยตลอด อีกทั้งเขารักลูกและสามีของเขาเป็นอย่างมาก ตนจึงไม่เชื่อว่าพี่สาวตัวเองจะคิดสั้นฆ่าตัวตายได้ เชื่อว่าพี่สาวตนเองน่าจะถูกฆาตกรรม แต่จะเป็นการฆ่าชิงทรัพย์หรือไม่ตนไม่ทราบ เพราะที่แฟลตไม่มีประวัติเรื่องเหตุอาชญากรรมมาก่อน
อีกทั้งปกติแล้ว ตนกับพี่สาวจะพูดคุยกันตลอด ไม่เคยไม่สามารถโทรหาหรือติดต่อได้ ซึ่งติดต่อครั้งสุดท้ายในวันที่ 27 พฤศจิกายน ตนได้ไลน์ทักหาพี่สาวตามปกติตอนหนึ่งทุ่ม ก่อนพี่จะเสียชีวิตไม่กี่ชั่วโมง ทั้งนี้ ตนได้ส่งข้อความสุดท้ายในวันที่ 28 พฤศจิกายน ถามพี่สาวว่าอยู่ไหน แต่ไม่มีการตอบกลับ และวันที่ 29 พฤศจิกายน ตนสามารถโทรเข้าเครื่องโทรศัพท์ของพี่สาวตนเองได้ แต่ไม่มีใครรับสาย ก่อนที่หลังจากนั้นจะไม่สามารถติดต่อโทรศัพท์ของพี่สาวได้อีกเลย
ส่วนตัวสามีของพี่สาวซึ่งชื่อหนุ่ย ตนไม่ได้รู้สึกติดใจกับสามี เพราะหลังจากทราบข่าวว่าพี่สาวหายไปในช่วงเช้า สามีพี่สาวก็เป็นคนแรกที่ออกตามหาและไปแจ้งลงบันทึกประจำวันที่ สน.บางซื่อ อีกทั้งตอนที่ตั้งวงกินเหล้าในคืนวันลอยกระทง สามีพี่สาวก็ยืนยันว่าคืนนั้น พี่สาวไล่ให้เขากลับไปดูลูกที่ห้องก่อน โดยพี่สาวกับสามีคนนี้คบหากันมาได้ 5 ปีแล้ว มีลูกชายด้วยกัน 1 คนวัย 2 ขวบ ที่ผ่านมาก็มีทะเลาะกันเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วก็คืนดีกัน ไม่เคยถึงขั้นทำร้ายร่างกายหรือมีปัญหากันภายในครอบครัวจนเกิดภาวะเครียดทั้งสองฝ่าย
ส่วนประเด็นที่ตั้งข้อสงสัยว่า เป็นการฆาตกรรมเพื่อล้างหนี้หรือไม่ นายโจ้กล่าวว่า ที่ผ่านมามีคนมาหยิบยืมเงินพี่สาวของตนจริง แต่เป็นจำนวนแค่หลักพันไม่ได้มากมายและบางส่วนก็เป็นเพียงแค่การเซ็นของ ในร้านชำ อีกทั้งที่ผ่านมาพี่สาวก็ไม่ได้มีอริหรือมีปัญหาใด ๆ กับใคร โดยหลังจากนี้จะนำศพพี่สาว ไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดตะขบ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี