"บิ๊กอุ้ม"จี้ สพฐ.เดินหน้าค้นหาเด็กนอกระบบ ดึงกลับเข้าเรียน เตรียมนนำการประเมินแบบใหม่ใช้ประเมิน ผอ.เขตฯ ผอ.โรงเรีย
เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2567 ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวตอนหนึ่งในการตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) โดยมี เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน รองเลขาธิการฯ ผู้บริหาร สพฐ. ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้อำนวยการสถานศึกษาทั่วประเทศ ครู บุคลากรทางการศึกษา เข้าร่วมประชุมผ่านระบบยูทูป และเฟสบุ๊ค ว่า สิ่งที่อยากมาเน้นย้ำคือ 3 ท ทำดี ทำได้ ทำทันที เรื่องใดที่ดีมีประโยชน์ก็อยากให้ทำทันที รวมถึงการให้ข้อแนะนำต่าง ๆ ตนเชื่อว่า ความคิดและข้อแนะนำต่าง ๆจากทุกคนจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการศึกษา รวมถึงขอเน้นย้ำนโยบาย เรียนดี มีความสุข ทั้งนักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งหมายถึงการทำอะไรสักอย่างขอให้มีความสุขที่จะทำ ถ้าไม่มีความสุข ขอให้บอก จะจัดสรรให้อยู่ในที่ที่มีความสุข มีความอยากที่จะทำ ทั้งนี้ เชื่อว่าถ้าทุกคนมีความสุข จะส่งผลให้ผลการเรียนดีขึ้น รวมถึงขอฝากให้ไปดูว่า จะทำอย่างไรเพื่อลดภาระครู นักเรียน และบุคลากรทางการศึกษา ส่วนการปฏิบัติงานประจำ ขอให้เน้นความถูกต้อง รวดเร็ว ประโยชน์ ประหยัด มองประโยชน์องค์กร ประเทศชาติ ประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ก่อนจึงนึกถึงประโยชน์ส่วนตน
พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ขอให้ทุกคนช่วยกันดำเนินการตามนโยบายเรียนดี มีความสุข นโยบายการศึกษาถ้าขาดสพฐ. ก็ไม่อยากจะดำเนินการได้สัมฤทธิ์ผล ถ้ากระแสสังคมจะเป็นอย่างไรก็ตามอย่าไปหวั่นไหว เพียงแต่ต้องรับฟัง และนำมาเป็นแนวทางปรับปรุง ระมัดระวัง การทำงาน สพฐ. และศธ.เป็นองค์กรที่ใหญ่ เชื่อว่าน่าจะมีด็อกเตอร์(ดร.)มากที่สุดในองค์กร เชื่อว่า หากพวกเราช่วยกันดำเนินการอย่างเต็มความสามารถ เชื่อว่าการศึกษาของเราคงจะมีการพัฒนาขึ้น โจทย์ที่จะต้องดำเนินการคือ ทำอย่างไรจะให้ เด็กนักเรียน และเยาวชนโตขึ้นไปเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าของประเทศไทย ในวันนี้ต้องทำอย่างไรให้นักเรียนอยากเรียน อยากมาโรงเรียน
“สิ่งที่ต้องทำอีกเรื่องที่เป็นนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี คือ ช่วยกันค้นหาเด็กที่หลุดออกนอกระบบที่ไม่ได้เรียนให้กลับเข้ามาเรียน ทำอย่างไรให้นักเรียนผ่านการศึกษาภาคบังคับกันทุกคน ผมเข้าใจว่าเป็นความเหนื่อยยาก ซึ่งคงต้องร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการแก้ไขปัญหา เพราะสาเหตุส่วนใหญ่ที่เด็กออกนอกระบบการศึกษา ก็คงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ดังนั้น คงต้องหาวิธีการ ซึ่งในส่วน ศธ. เองพยายามตอบโจทย์นี้โดยจัดทำแพลคฟอร์ม any where any time เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา แต่เมื่อระบบยังไม่พร้อมก็ข้อความร่วมมือ ช่วยค้นหาเด็กให้กลับมาเรียน รวมถึงการช่วยเหลือเด็กพิเศษต่าง ๆ ด้วยก็ต้องช่วยกันดำเนินการ” รมว.ศธ. กล่าว
พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวเพิ่มเติมว่า สพฐ.ได้นำเสนอการดำเนินการที่ผ่านมา พบว่า มีเรื่องต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐมนตรี เป็นที่น่าชื่นชม เช่น การลดภาระครู ที่มีการเพิ่มคะแนนครูคืนถิ่น และมีการปรับลดการดำเนินการต่าง ๆ ในการประเมิน หรือ เรื่องโรงเรียนขนาดเล็กที่มีการใช้ธุรการร่วมกันหรือทางเขตพื้นที่การศึกษาเข้าไปสนับสนุนการทำงาน เป็นต้น นอกจากนี้ มีการติดตามการจัดการเรียนการสอนทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) โดยจะมีการจัดประกวดโรงเรียน The Best of The Best 183 โรงเรียนที่จะเป็นโรงเรียนต้นแบบในการดำเนินการจัดการเรียนการสอนผ่าน DLTV ซึ่ง DLTV เป็นการจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมที่ดำเนินการมาตั้งแต่ ปี 2538 เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ซึ่งสามารถช่วยสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ช่วยเหลือโรงเรียนที่อยู่ห่างไกล หรือ โรงเรียนขนาดเล็กที่มีครูไม่ครบชั้นได้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จทั้ง 100% ทั้งนี้ รัฐมนตรีให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก จะมาติดตามการดำเนินการ เพื่อมาประชุมปรับปรุงให้มีมาตรฐานเท่าเทียมกันมากขึ้น
รมว.ศธ. กล่าวอีกว่า ในการประชุมได้มีการกำชับเรื่องการป้องกันการทุจริต ซึ่งเลขาธิการ กพฐ. และผู้บริหารก็ให้ความสำคัญ เช่น กรณีที่เพิ่งเกิดขึ้นที่โรงเรียนการศึกษาพิเศษแห่งหนึ่งในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ก็ได้มอบหมายให้ ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการ กพฐ.ไปติดตามข้อเท็จจริงในพื้นที่ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย อย่างไรก็ตาม เท่าที่ทราบโรงเรียนการศึกษาพิเศษมีอยู่จำนวนมากและมีข้อจำกัดเยอะมาก ซึ่งจากที่ได้รับฟังรายงานแล้วยอมรับว่าเป็นความเหนื่อยยากของครูและผู้บริหารโรงเรียนในการที่จะต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาต่าง ๆก็ได้ขอใช้เวทีการประชุมวันนี้ส่งกำลังใจไปถึงครูและผู้บริหารการศึกษาพิเศษทุกโรงเรียน ที่อาจจะเสียกำลังใจหรือท้อใจเวลาโรงเรียนในกลุ่มการศึกษาพิเศษเกิดปัญหา ซึ่งอาจเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันก็ได้ เพราะฉะนั้น ขอให้รอดูข้อเท็จจริงก่อนแล้วมาหารือกันว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวถึงนโยบายการประเมินรูปแบบใหม่ ว่า เป็นการให้ผู้รับการประเมินเป็นคนบอกเองว่า ทำอะไรได้ขนาดไหน เพราะเราต้องยอมรับว่าทรัพยากร ไม่ว่าจะเรื่องงบประมาณ บุคลากร สถานที่ หรือสิ่งต่าง ๆ แต่ละพื้นที่มีบริบทไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน ซึ่งแต่ละคนจะรู้ตัวว่ามีศักยภาพขนาดไหน ทำอะไรได้บ้าง บางพื้นที่อาจจะไม่มีอะไรเลย เช่น พื้นที่ห่างไกล มีทรัพยากรน้อย ผู้มีจิตศรัทธาที่จะสนับสนุนก็น้อย ซึ่งเท่ากับเริ่มจากศูนย์ ถ้าสามารถทำได้ถึง 3 ก็จะได้เพิ่ม 3 แต้ม แต่บางพื้นที่อย่าง กทม. มีครบหมดแล้วทำนิดหน่อยก็เสมอตัว ดังนั้น การประเมินแบบใหม่ก็จะให้ตัวเองบอกเองว่าจะทำอะไรได้แค่ไหนแล้วมาประเมินผล
พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวด้วยว่า สำหรับแพลตฟอร์มการเรียนรู้เพื่อสนองนโยบาย เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา Anywhere Anytime นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการซึ่งมีความก้าวหน้าพอสมควร ซึ่งจะทำควบคู่ไปกับระบบสอบเทียบ เมื่อนำมาใช้ทุกคนจะสามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลาตามนโยบายนายกรัฐมนตรี โดย สพฐ.จะทำร่วมกับ กรมส่งเสริมการเรียนรู้( สกร.) และ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) จะเป็นหลักในการประเมิน
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี