ศาลฎีกานักการเมืองในชั้นอุทธรณ์ พิพากษายืนปรับ บ. บ.สไตเออร์ เดมเลอร์ 2แสนเศษ ปมจัดซื้อ รถเรือดับเพลิง กทม. ชี้ข้ออุทธรณ์ ของปปช.ฟังไม่ขึ้น
วันที่ 25 มกราคม 2567 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง อ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อม.อธ.12/2565 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) เป็นโจทก์ฟ้องนายโภคิน พลกุล อดีต รมว.มหาดไทย จำเลยที่ 1 นายประชา มาลีนนท์ อดีต รมช.มหาดไทย จำเลยที่ 2(หลบหนี) นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์ จำเลยที่ 3 พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีต ผอ.สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. จำเลยที่ 4 บริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุค สเปเชียล ฟาห์ซอย์ จำกัด ประเทศออสเตรีย จำเลยที่ 5 และนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าราชการ กทม.จำเลยที่ 6 เป็นจำเลย ฐานผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีพวกจำเลยถูกกล่าวหาทุจริตโครงการจัดซื้อจัดจ้างรถเรือดับเพลิง ในส่วนบริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุค สเปเชียล ฟาห์ซอย์ จำกัด ประเทศออสเตรีย จำเลยที่ 5
สำหรับคดีนี้ สืบเนื่องจากคดีหมายเลขดำที่ อม.5/2554 หมายเลขแดงที่ อม.7/2556 ที่ โจทก์ฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุนายโภคิน จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งรมว.มหาดไทยนายประชา จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่ง รมช.มหาดไทย นายวัฒนาจำเลยที่ 3 ดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ จำเลยที่4 เป็นข้าราชการกรุงเทพมหานคร บริษัทสไตเออร์ฯ จำเลยที่5 เป็นนิติบุคคลต่างประเทศ และเป็นคู่สัญญาผู้ขายยานพาหนะดับเพลิงและอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยให้แก่กรุงเทพมหานคร และนายอภิรักษ์ จำเลยที่ 6 ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร โดยเมื่อระหว่างปลายปี 2545 ถึงต้นปี 2549 จำเลยที่ 1 ,2,4 ใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งราชการโดยมิชอบและโดยทุจริต ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ บริษัทสไตเออร์ ฯ จำเลยที่5 โดยฝ่าฝืนกฎหมายและระเบียบของทางราชการเกี่ยวกับการพัสดุ มีจำเลยที่ ร่วมและสนับสนุนการกระทำความผิดโดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ กล่าวคือ จำเลยที่5 จัดทำร่างข้อตกลงของความเข้าใจ (Agreement of Understanding : A.O.U) แล้วมอบหมายให้ทูตพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐออสเตรียนำร่าง A.O.U ไปให้จำเลยที่ 4 ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารโครงการพัฒนาระบบบริหารและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานคร เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการบริหารโครงการพัฒนาระบบบริหารและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเพื่อพิจารณารับร่าง
ในวันเดียวกัน นาย สมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าฯกทม. มีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 ว่า ร่าง A.O.U ถูกต้อง ต่อมาจำเลยที่ 1 ลงนามในร่าง A.O.U โดยปราศจากอำนาจ และนาย สมัคร ลงนามในข้อตกลง ซื้อขายยานพาหนะดับเพลิงและอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยกับจำเลยที่ 5 ไม่เป็นไปตามหลักการที่ครม.อนุมัติ และไม่ได้ขอรับความเห็นกับตรวจสอบความถูกต้องจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เป็นเหตุให้กรุงเทพมหานครตกลงซื้อสินค้าจากบริษัท สไตเออร์ จำเลยที่ 5 ซึ่งบางรายการผลิตขึ้นในประเทศไทยและมีราคาแพงกว่าราคาในท้องตลาด ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐและกรุงเทพมหานคร นายวัฒนา จำเลยที่ 3 กับพวกร่วมกับบริษัท ซ. จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในครอบครัวของจำเลยที่ 3 ผลักดันให้กระทรวงพาณิชย์เสนอครม.ให้มีมติเน้นสินค้าประเภทไก่ต้มสุกแทนที่จะเป็นสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ไม่เป็นไปตามหลักการที่ครม.อนุมัติและตามวิธีการค้าต่างตอบแทน เป็นเหตุให้ประเทศไทยขาดดุลการค้าต่อสาธารณรัฐออสเตรีย เป็นเงิน 6,687,489,000 บาท นายอภิรักษ์ จำเลยที่ 6 ทราบว่าพล.ต.ต.อธิลักษณ์ จำเลยที่ 4 ยื่นคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต (L/C) ให้แก่ บริษัทสไตเออร์ ฯจำเลยที่5 โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อตรวจสอบ ทั้งมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งระงับการขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต (L/C) และให้ธนาคาร อนุมัติวงเงินเพื่อ จ่ายให้แก่บริษัท สไตเออร์ ฯจำเลยที่ 5 โดยไม่พิจารณาถึงขั้นตอนการจัดซื้อที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบราชการ และแก้ไข ข้อความอันเป็นสาระสำคัญของเงื่อนไขในเลตเตอร์ออฟเครดิต (L/C) หลายรายการ เพื่อเอื้อประโยชน์แก่บริษัท สไตเออร์ฯ จำเลย ที่5 ในการส่งมอบสินค้าและการชำระเงิน ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐและกรุงเทพมหานคร
ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มาตรา83 และมาตรา86 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 7 มาตรา 11 มาตรา 12 และมาตรา 13 บริษัท สไตเออร์ จำเลยที่ 5 ไม่มาศาลในวันนัดพิจารณาครั้งแรก ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 5 ออกจากสารบบความ
ต่อมาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาแล้วพิพากษาว่า นายประชา จำเลยที่2 และพล.ต.ต.อธิลักษณ์ ที่ 4 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคา ต่อหน่วยงานของรัฐ อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกนายประชาจำเลยที่2 มีกำหนด 12ปี และจำคุกพล.ต.อธิลักษณ์ จำเลยที่ 4 มีกำหนด 10ปี ข้อหาอื่นให้ยก ฟ้องนายโภคินจำเลยที่ 1 นายวัฒนาที่ 3 และนายอภิรักษ์ ที่6 คดีถึงที่สุดแล้ว
ต่อมาวันที่ 25 ธ.ค. 60 ปปช.โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ยกคดีโจทก์สำหรับ บริษัท สำตเออร์ จำเลยที่ 5 ขึ้นพิจารณาตามพ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 28 ศาลอนุญาต แต่จำเลยที่ 5 ไม่มาศาลในวันพิจารณาครั้งแรก จึงถือว่าให้การปฏิเสธตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 33 วรรคสาม และเมื่อศาลออกหมายจับกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน บริษัท สไตเออร์ฯ จำเลยที่ 5 มาเพื่อพิจารณาคดี แต่ไม่สามารถจับได้ภายใน3เดือนนับแต่วันออกหมายจับ ศาลจึงพิจารณาคดีจำเลยที่ 5 ต่อไปตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางเมือง พ.ศ.2560 มาตรา28 วรรคสอง
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาแล้วพิพากษาว่า บริษัท สไตเออร์ฯ จำเลยที่ 5 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา13 ประกอบมาตรา 12 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ลงโทษปรับ 266,666บาทไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ข้อหาอื่นให้ยก
ปปช.โจทก์อุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาในประเด็นปัญหาข้อกฎหมายว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งลงโทษ บริษัท สไตเออร์ฯ จำเลยที่5 ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 13 ประกอบมาตรา 12 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 หรือไม่
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า เมื่อปรับบทลงโทษบทหนักที่สุดแล้ว จึงจะพิจารณาโทษที่จะใช้บังคับแก่ผู้กระทำความผิดต่อไป เพื่อให้ใช้บทบัญญัติที่เป็นความผิด ร้ายแรงที่สุดลงโทษผู้กระทำความผิด โดยบทบัญญัติที่เป็นความผิดร้ายแรงที่สุดคือ บทบัญญัติที่มีโทษหนักที่สุดหาจำต้องพิจารณาถึงสถานะของผู้กระทำความผิดว่าเป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล ที่จะสามารถบังคับโทษนั้นได้หรือไม่ มิฉะนั้นจะเป็นการขยายความนอกเหนือจากเจตนารมณ์ของกฎหมาย
ส่วนโทษใดเป็นโทษหนักที่สุดนั้น ต้องพิจารณาตามลำดับโทษที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา18 ได้แก่ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน โดยโทษที่อยู่ในลำดับก่อนในมาตรานี้ย่อมหนักกว่าโทษ ที่อยู่ในลำดับหลัง ทั้งนี้เมื่อความผิดบทใดเป็นบทหนักแล้ว ก็ใช้อัตราโทษทั้งหมดไม่ว่าโทษจำคุกและโทษปรับตามบทความผิดนั้นเพียงบทเดียวลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด แม้อัตราโทษในบทเบาจะบัญญัติโทษปรับไว้สูงกว่าโทษปรับในบทหนักก็ไม่อาจนำมาใช้ลงโทษได้ เมื่อคดีนี้
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาว่า การกระทำตามฟ้องของ บริษัท สไตเออร์ฯ จำเลยที่ 5 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิด ต่อกฎหมายหลายบท เมื่อพิจารณาบทกำหนดโทษของทุกฐานความผิดแล้ว เห็นได้ว่าความผิดทุกบทต่าง มีอัตราโทษจำคุกเช่นเดียวกัน กรณีจึงต้องพิจารณาว่าบทความผิดใดมีอัตราโทษจำคุกขั้นสูงมากที่สุด เมื่อความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา13 ประกอบมาตรา12 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา86 มีอัตราโทษจำคุกขั้นสูง 33 ปี 4เดือน ส่วนความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา7 มีอัตราโทษจำคุกขั้นสูงเพียง5ปี ดังนี้ ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 13 ประกอบมาตรา 12 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา86 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกขั้นสูงมากกว่าจึงเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด และเมื่อ ถือว่าความผิดบทนี้เป็นบทหนักแล้ว ก็ต้องใช้อัตราโทษทั้งโทษจำคุกและโทษปรับตามบทนี้ลงโทษ แม้อัตราโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 3 จะกำหนดอัตราโทษปรับไว้ร้อยละห้าสิบของจำนวนเงินที่มีการเสนอราคาสูงสุดระหว่างผู้ร่วมกระทำความผิดนั้น หรือของจำนวนเงินที่มีการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า ซึ่งในคดีนี้เมื่อคำนวณแล้วจะมีจำนวนเงินสูงกว่าโทษปรับในบทหนักก็ตาม ก็มิใช่ความผิดบทที่มีโทษหนักที่สุด
ส่วนสถานะของ บริษัท สไตเออร์ฯจำเลยที่5 ที่เป็นนิติบุคคล ซึ่งไม่อาจถูกลงโทษจำคุกได้นั้น หาใช่เงื่อนไขที่จำต้องนำมาพิจารณาในการปรับบทลงโทษตามเงื่อนไขในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา90ไม่ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษามานั้นจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี