คปท.ขู่ยื่นอุทธรณ์การพักโทษ/ไม่ได้ป่วยจริง
ดักคอ‘แม้ว’ไปเชียงใหม่
กราบไหว้บรรพบุรุษแค่ข้ออ้าง
‘จตุพร’ชี้‘เศรษฐา’ไปเฝ้าไข้
คาดดีลลับต่ออายุเก้าอี้นายกฯ
‘สมศักดิ์’บอกยังไร้คิวเข้าพบ
คปท.ยังคงปักหลักชุมนุมข้างทำเนียบฯ ไม่เชื่อทักษิณป่วยจริง เพราะมีโปรแกรมจะไปเชียงใหม่ จ่อยื่นอุทธรณ์การพักโทษ ขณะที่ “จตุพร” วิเคราะห์มี “เศรษฐา” ไปเฝ้าไข้ เชื่อมีดีลลับต่ออายุเก้าอี้นายกฯ “สมศักดิ์” ย้ำนายใหญ่ปิ๊กบ้านตามระเบียบราชทัณฑ์ ยังไม่มีกำหนด “ก๊วนสส.เพื่อไทย”เข้าพบ ด้าน “ชาญชัย” ชี้ช่องป.ป.ช. ยกหลักฐานใหม่อุทธรณ์คดียกฟ้อง “ยิ่งลักษณ์”
เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ยังคงปักหลักชุมนุมบริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์ เนื่องจากมีการขออนุญาตถึงวันที่ 2 พฤษภาคม โดยมีการติดตั้งเครื่องปั่นไฟ ถังลิตรปริมาณ 1,000 ลิตร จำนวน 5 ถัง พร้อมทั้งโรงครัวเคลื่อนที่จากกองทัพธรรม เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มผู้ร่วมชุมนุม
โดยนายพิชิต ไชยมงคล แกนนำ คปท.กล่าวถึงกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เตรียมเดินทางไปไหว้บรรพบุรุษที่ จ.เชียงใหม่ ว่า การเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งอาจจะขัดกับที่คณะกรรมการพักโทษ ที่ออกมาระบุว่านายทักษิณป่วยจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านายทักษิณใช้ชีวิตปกติ เหมือนคนทั่วไป
นายพิชิต กล่าวว่า ต้องดูว่ากรมคุมประพฤติจะพิจารณาอย่างไร หลังจากนี้ เนื่องจากมีผลคาบเกี่ยวทางการเมือง เพราะมองว่าการเดินทางไปเชียงใหม่เพื่อไหว้บรรพบุรุษเป็นเพียงข้ออ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้พรรคก้าวไกลก็ลงพื้นที่เพื่อเคลื่อนไหวทางการเมืองในการเลือกตั้งท้องถิ่น จึงตั้งข้อสังเกตว่าการที่นายทักษิณเดินทางไปครั้งนี้เพื่อกระชับอำนาจของมวลชนคนเสื้อแดง เพราะมวลชนมีการออกมาขานรับว่าจะออกมาต้อนรับนายทักษิณเป็นอย่างดี ซึ่งกรมคุมประพฤติต้องควบคุมเรื่องนี้ให้ดี
เล็งยื่นอุทธรณ์การพักโทษแม้ว
ส่วนการลงพื้นที่ของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ตรงกับการเดินทางไปเชียงใหม่ของนายทักษิณนั้น ตนมองว่าเป็นการใช้อำนาจรัฐ เพราะนายทักษิณเป็นผู้มีอิทธิพลทางความคิดทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย ตั้งใจลงไปเพื่อหวังผลทางการเมืองหรือไม่ ทำให้มองว่าการพักโทษของนายทักษิณ เป็นการพักโทษที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองได้
“ทาง คปท.กำลังพิจารณาพิจารณายื่นอุทธรณ์ การพักโทษไปยังคณะกรรมการการพักโทษ โดยขอดูก่อนว่าการที่นายทักษิณเดินทางไปในวันที่ 14 มีนาคม จะมีลักษณะอย่างไร หากการเดินทางเป็นไปตามปกติโดยไม่มีผู้อนุบาล ถือว่าการพักโทษครั้งนี้มีปัญหาแน่นอน คปท.จะรวบรวมหลักฐานต่อไป และยืนยันว่าจะยังคงมีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง”
เชื่อดีลต่ออายุ”เศรษฐา”
นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ว่า สถานการณ์ในเดือน มี.ค.นี้ จะพลิกผันเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดได้เสมอ ทั้งเป็นเรื่องง่าย ราบรื่น หรือยาก เพราะการดีลกันมาตั้งแต่ต้นถูกเพิกเฉย จึงพยายามจะขอดีลใหม่เพื่อต่ออายุอำนาจอีกสักระยะหนึ่ง ส่วนนายทักษิณ ชินวัตร จะเดินทางออกออกนอกพื้นที่ควบคุมพักโทษใน กทม.เพื่อไปเชียงใหม่ระหว่างวันที่ 14-16 มี.ค.นั้น เป็นเรื่องปกติที่กรมควบคุมฯ จะอนุญาต หากนักโทษไม่ขออนุญาตจะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะต้องถูกจับติดคุกใหม่ แล้วกลายเป็นนักโทษชั้นเลวมากทันที
นายจตุพร ตั้งข้อสังเกตว่า การไปเชียงใหม่ของนายทักษิณ ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ จะกลับจากต่างประเทศแล้วเดินทางไปเชียงใหม่เช่นกัน อย่างไรก็ตามนายกฯ เดินทางไปยุโรปนั้นได้มีโอกาสพบคนไทยบางคนที่มากบารมีคนหนึ่งหรือไม่ เพราะเมื่อกลับมาถึงไทยก็ไปเชียงใหม่เพื่อเตรียมตัวประชุม ครม.สัญจรที่เชียงรายทันที โดยพฤติกรรมนี้ดูเหมือนการเมืองจะราบรื่นดี
“แต่ให้ดูว่าความราบรื่นต่างๆ นั้นได้ซ่อนความผิดปกติไว้มากมาย สิ่งที่ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแล้วจะเห็นอีกปรากฏการณ์เกิดขึ้น เพราะทุกเรื่องที่ดูว่าง่าย แต่ความจริงสามารถเกิดอะไรขึ้นก็ได้ทั้งนั้น ทั้งเรื่องง่าย เบา ยากลำบาก หรือหนัก หรือปล่อยไปแล้วก็เอาเข้ามาใหม่ได้อีกเช่นกัน เมื่อตั้งแต่ต้นไม่ได้ปฏิบัติไปตามดีล ดังนั้นเดือนนี้จึงน่าสนใจที่สุด” นายจตุพร กล่าว
ยิ่งลักษณ์ยังไม่พ้นพงหนาม
นายจตุพร ประเมินว่า ในกรณีที่ไม่ง่ายหรือเรื่องราวไม่ราบรื่น อย่างกรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็อาจมีการยื่นอุทธรณ์จากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) หรือนำคดีใหม่ขึ้นมาเล่นงานอีกก็ได้ ส่วนกรณีนายเศรษฐา อาจจะเผชิญหน้ากับการตรวจสอบคดีทางธุรกิจบางอย่างที่มีเรื่องค้างคาที่ ป.ป.ช. และกรณีนายทักษิณ ไม่แน่อาจจะมีภาพหลุดออกมาประจานเมื่อครั้งอยู่ที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ โดยอ้างเหตุกู้ภาพจากกล้องวงจรปิดได้แล้ว ดังนั้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาได้เสมอ ถ้าบางฝ่ายต้องการทำให้สถานการณ์ยากลำบากขึ้น และอาจจะเกิดอีกหลายปรากฏการณ์ที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้ทั้งนั้น
สิ่งสำคัญในขณะนี้ คือ ประชาชนอยู่ตรงไหนในการรักษาผลประโยชน์ชาติ ยิ่งวันที่ 17 มี.ค.นี้จะครบกำหนดเวลา 30 วันที่ ครม.ให้ศึกษารายงานของ ป.ป.ช.ในกรณีแจกเงินโครงการดิจิทัลวอลเล็ต และถัดจากนั้นไป ครม.ต้องมีมติจะออกกฎหมายกู้เงิน 5 แสนล้านมาแจกหรือไม่ นอกจากนี้กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องพิจารณาการยุบพรรคก้าวไกลอีก ล้วนทำให้สถานการณ์ทางการเมืองกระเพื่อมขึ้นมาได้อย่างน่าสนใจ
“ถ้าประชาชนยังไม่ตื่นตัว ก็จะเสียโอกาสในหลายเรื่อง การไปหลงลมปากนักการเมืองแล้วลืมปกป้องผลประโยชน์ชาติในหลายเรื่องจึงเป็นสิ่งที่น่ากังวล และบางกรณีต้องนำผลประโยชน์ชาติกลับคืนมาให้ได้ทั้งในเรื่องแหล่งพลังงานทับซ้อนและคนรวยครอบครองที่ดินนับล้านไร่ จึงขอประชาชนอย่าได้อยู่นิ่งดูดาย ต้องมุ่งหวังไปเอาประเทศไว้ เพราะเรื่องอื่นเป็นเรื่องเล็ก ยิ่งทางการเมืองก็จะเกิดความเหลวแหลกอย่างมโหฬาร อาจได้เห็นละครโรงใหญ่ หากประชาชนแข็งแรงแล้ว ไม่ว่าการเมืองแบบไหนย่อมไม่มีความหมายทั้งสิ้น” นายจตุพร กล่าว
ไฟเขียว‘แม้ว’ไปเชียงใหม่
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่นายทักษิณ จะเดินทางไป จ.เชียงใหม่ ว่า ในขณะพักโทษถ้าไม่นอนที่บ้านที่แจ้งไว้กับกรมคุมประพฤติก็ต้องขออนุญาตว่าจะเดินทางไปที่ไหน อย่างไร ระยะเวลาเท่าไร ถ้าไม่ได้ออกนอกประเทศก็สามารถขออนุญาตได้ ถ้ากรมคุมประพฤติอนุญาตก็เดินทางไปได้ ซึ่งจะต้องมีการประสานกัน นอกจากนี้หากร่างกายยังไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไร ก็ต้องมีหมอหรือพยาบาลคอยดูแล
เมื่อถามว่าการเดินทางต้องมีการกำหนดเวลาให้ชัดด้วยใช่หรือไม่ว่าไปกี่วัน นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ต้องกำหนด ต้องมีรายละเอียดซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ ทางกรมคุมประพฤติจะมีหน้าที่ดู ถ้าเห็นว่าเหมาะสมก็อนุญาตไป
เมื่อถามว่าการเดินทางของนายทักษิณ หากมีประชาชนไปพบหรือมีผู้สื่อข่าวไปดักรอ สามารถทำได้หรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า ได้ ถ้าเงื่อนไขของกรมคุมประพฤติเขียนไว้อย่างไร เราก็สามารถทำได้
เมื่อถามว่านายทักษิณ สามารถให้สัมภาษณ์เรื่องการเมืองได้หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าเงื่อนไขของกรมคุมประพฤติเขียนไว้หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามกรณีนายทักษิณ ไม่ได้มีความแตกต่างจากนักโทษคนอื่น ซึ่งอาจเป็นเพราะนักโทษคนอื่นไม่ได้มีสื่อตามเหมือนกับนายทักษิณ ก็ถือเป็นกรณีศึกษาอย่างดีสำหรับญาติพี่น้องของผู้ต้องขังอื่นๆ ที่จะได้เรียนรู้ กฎ ระเบียบ ของกรมราชทัณฑ์ด้วย
ไม่ห่วงกลุ่มเห็นต่างรุมโจมตี
ผู้สื่อข่าวถามว่าการเดินทางไปเชียงใหม่ของนายทักษิณ ถือว่าเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือไม่และมีนัยยะสำคัญอย่างไรกับพรรคเพื่อไทย (พท.)หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้แล้วแต่ใครจะคิด แต่นายทักษิณ ไม่ได้อยู่ประเทศไทยถึง 17 ปี ก็เป็นธรรมดาที่จะคิดถึงบ้าน คิดถึงญาติพี่น้อง และก็มีคนที่คิดถึงนายทักษิณด้วยเช่นกัน และนายทักษิณ ก็ต้องการไปไหว้อัฐิบรรพบุรุษก็เท่านั้น
เมื่อถามว่าเป็นห่วงหรือไม่ว่าจะมีผู้เห็นต่างหยิบยกกรณีนี้มาโจมตี เพราะมีความเกี่ยวเนื่องกับรัฐบาลด้วย นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ก็ตอบคำถามได้ คงไม่เป็นไรไม่น่าเป็นห่วงอะไร
ยังไม่นัดหมายเข้ากราบทักษิณ
เมื่อถามว่าสส.พรรคเพื่อไทย จะใช้โอกาสนี้เดินทางไปเชียงใหม่เพื่อเข้าพบนายทักษิณ ด้วยหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ยังไม่เห็นมีนัดหมายอะไร ส่วนตัวตนก็ยังไม่ได้พบนายทักษิณ “อยากไปพบอยู่ แต่ท่านยังไม่ให้พบ และที่เชียงใหม่ก็คงไม่มีโอกาสได้พบ” เมื่อถามว่าในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งเป็นปีใหม่ไทย มีโอกาสจะได้เข้าไปรดน้ำดำหัวนายทักษิณ หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ก็ต้องขอไป แต่ไม่รู้จะให้ไปหรือเปล่า เมื่อถามว่าขอไปแล้วใช่หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ยังไม่ตอบรับ
เมื่อถามว่ามีคนท้วงติงว่านายทักษิณ มีอาการป่วยหนัก ไม่ควรเดินทางไปเชียงใหม่ช่วงนี้เนื่องจากมีปัญหาเรื่องฝุ่น PM 2.5 เยอะมากอาจทำให้กระทบกับอาการป่วย นายสมศักดิ์ กล่าวว่า บางครั้งคนเราหากยังพอขยับตัวได้ก็คิดถึงบ้านเรือนที่เคยอยู่ เคยอาศัย อย่างตนออกจากสุโขทัยมาเป็นเดือน ไม่ได้กลับเลยก็ต้องกลับไปเช่นกัน ไม่เช่นนั้นก็นอนไม่หลับ ดังนั้นใครก็แล้วแต่หากมีภูมิลำเนาที่ไหนก็ต้องกลับไปเพราะจะรู้สึกว่ามีความสุขที่ได้กลับบ้าน
บอกไทยมี‘นายกฯคนเดียว’
เมื่อถามว่าในฐานะนักการเมืองอาวุโสอยากขอร้องให้ทุกฝ่ายมองข้ามนายทักษิณ ให้เป็นเรื่องปกติ ปุถุชนคนธรรมดา นายสมศักดิ์ กล่าวว่า“โอ้ย อย่าไปขอร้องอะไรเลย ใครจะมองอย่างไรก็มองไปเถอะ เราตอบคำถามได้เราก็ตอบ ชี้แจงกันไป แบ่งความรู้ให้กันไป ไม่ต้องห่วงใครต่อใคร เป็นสิทธิของแต่ละคน ยากจะมอง อยากจะพูด อยากจะคิดอย่างไรที่จะไม่ไปละเมิดสิทธิคนอื่น ก็ว่ากันไป เรามีหน้าที่ตอบก็ตอบไป สนุกดีออก”
เมื่อถามว่ากรณีนี้จะเป็นการตอกย้ำถึงการมีศูนย์กลางทางการเมืองอยู่ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า หรือการมีนายกรัฐมนตรี 2 คนหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ก็แล้วแต่จะคิด แต่เราก็ไม่รู้ว่าศูนย์กลางอยู่ตรงไหน อะไร อย่างไร แต่วันนี้เรามีนายกรัฐมนตรี ที่มีกฎหมาย เป็นเครื่องมือทำงานอยู่ สั่งการดำเนินการ คนอื่นไม่มีเครื่องมือบริหารทำงานต่างๆ แต่จะห้าม หรือไม่ให้คนอื่นคิด หรือห้ามคนอื่นพูดคงไม่ได้ มันเป็นเรื่องของการเมือง ทำจิต ทำใจไว้
ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงกระแสข่าวนายทักษิณ จะเดินทางไป จ.เชียงใหม่ ในช่วงกลางเดือนนี้เพียงสั้นๆว่า “ถามอะไรผมล่ะ ถามเรื่องผม หนิ”
‘ชาญชัย’ชี้ช่องปปช.อุทธรณ์คดี‘ปู’
นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และอดีตรองประธานอนุกรรมาธิการด้านกลไกการปราบปรามการทุจริต คณะกรรมาธิการวิสามัญป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่มติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ยกฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมพวก ในโครงการโรดโชว์สร้างอนาคตประเทศไทย Thailand 2020 ด้วยงบประมาณ 240 ล้านบาท ว่า ในฐานะที่เป็นพยานในคดีนี้ ตอนเป็นกรรมาธิการวิสามัญ พ.ร.บ.ป.ป.ช. แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2554 เห็นว่าคดีดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ มาตรา 103/7 ซึ่งเป็นมาตราที่ว่าด้วยเรื่องการประกาศราคากลางขึ้นเว็บไซต์ เพื่อเชิญชวนให้เอกชนเข้าร่วมประกวดราคา แต่รัฐบาลในสมัยนั้นกลับมีการว่าจ้างเอกชนก่อนประกาศราคากลาง และศาลยังไม่มีคำวินิจฉัยเต็มที่ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับมาตราดังกล่าว
นายชาญชัย กล่าวว่า มาตรา 103/7 เป็นกฎหมายของ ป.ป.ช. ที่สภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านความเห็นชอบแล้ว ดังนั้น ป.ป.ช. จะต้องแจ้งกับนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ในสมัยนั้น เพื่อนำไปปฏิบัติกับทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะหน่วยงานของสำนักนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับเรื่องนี้จะด้วยเหตุใดก็ตาม หาก ป.ป.ช. ทำสำนวนไม่ครบถ้วน หรือยังไม่ได้มีการระบุความผิดตามมาตรา 103/7 ก็ให้ถือว่าประเด็นนี้เป็นหลักฐานใหม่ หรือให้ ป.ป.ช. ยื่นอุทธรณ์ให้ครบถ้วน อีกทั้งในขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์ยังได้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พร้อมกับยื่นถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตามรัฐธรรมนูญ และมาตรา 103/8 ด้วย
“มาตรา 103/7 เป็นการตรากฎหมายขึ้นเพื่อให้ ป.ป.ช. และทุกหน่วยงานต้องปฏิบัติตาม ในเรื่องที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งต้องมีการเปิดเผยราคากลางก่อน พร้อมนำข้อมูลขึ้นแสดงบนเว็บไซต์เพื่อให้ภาคประชาชน และพี่น้องประชาชนได้ร่วมกันตรวจสอบว่าเงินภาษีถูกนำไปใช้จ่ายเช่นใด และการกำหนดราคากลางถูกต้องหรือไม่ ผมยืนยันว่ามาตรานี้ เมื่อพรรคประชาธิปัตย์และเพื่อน สส. ได้ตรากฎหมายให้ ป.ป.ช. ไปดำเนินการ และตัวผมก็ไปเป็นพยานในการฟ้องของ ป.ป.ช. ด้วย จึงอยากให้ ป.ป.ช. ทบทวนและตั้งหลักยื่นอุทธรณ์ต่อไป” นายชาญชัย ระบุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี