สอบสวนกลาง แถลงเปิดปฏิบัติการ CIB breaks up online scam syndicate สกัดกั้นภัยออนไลน์ข้ามชาติ มูลค่าความเสียหายกว่า 800 ล้านบาท
วันที่ 12 มีนาคม 2567 เวลา 14:00 น. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ. , พ.ต.อ.จักรกริช เสริบุตร รอง ผบก.ปอศ. , ว่าที่ พ.ต.อ.ธีรภาส ยั่งยืน ผกก.3 บก.ปอศ. , พ.ต.ท.ภาสกร นภาโชติ ร่วมแถลง เปิดปฎิบัติการ CIB breaks up online scam syndicate สกัดภัยออนไลน์ข้ามชาติเสียหายกว่า 800 ล้านบาท
สำหรับพฤติการณ์ สืบเนื่องจากมีผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์ต่อตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กก.3 บก.ปอศ. ว่าได้ถูกกลุ่มคนร้ายชักชวนผ่านเพจเฟซบุ๊กหลอกให้ลงทุนหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศ โดยมีการแอบอ้างบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการหุ้น เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ก่อนชักชวนเข้าร่วมกลุ่มไลน์ VIP แนะนำการลงทุนในหุ้น ต่างประเทศซึ่งมีความแม่นยำและน่าเชื่อถือสูง และมีข้อมูลลับที่ใช้ในการลงทุน โดยให้ลงทุนผ่านแอปพลิเคชั่น Nicshare (ซึ่งเป็นแอปปลอม) โดยช่วงแรกสามารถทำกำไรได้จริง และสามารถถอนเงินได้บางส่วน เพื่อตั้งใจให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและโอนเงินลงทุนเพิ่มอีกหลายครั้ง แต่เมื่อลงทุนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ โดยกลุ่มคนร้ายอ้างว่าถ้าต้องการจะถอนเงินจะต้อง
มีการวางเงินประกันการลงทุนเพิ่ม และจะต้องเสียภาษี 20% ของกำไร จึงจะสามารถถอนเงินได้ เมื่อผู้เสียหายทำตามที่คนร้ายบอก แต่ก็ยังไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ และยังมีการอ้างว่าผู้เสียหายจะต้องเสียค่าธรรมเนียม ค่าประกัน และค่าภาษีเพิ่มซ้ำไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันเมื่อตรวจสอบยังพบว่า แอปพลิเคชั่นดังกล่าว ไม่ได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แต่อย่างใด เบื้องต้นพบว่ามีผู้เสียหายกว่า 50 ราย รวมมูลค่าความเสียหายเป็นเงินจำนวนกว่า 800 ล้านบาท
ภายหลังการสืบสวน เจ้าหน้าที่ทราบถึงขบวนการดังกล่าวว่ามีผู้ร่วมขบวนการทั้งคนไทย และชาวต่างชาติจำนวนหลายราย พบมีนายทุนเป็นชาวต่างชาติสัญชาติมาเลเซียเชื้อสายจีนจำนวนหลายราย เบื้องต้นพบยอดเงินหมุนเวียนในกลุ่มคนร้ายกว่า 5,000 ล้านบาท พนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน พร้อมขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหากว่า 50 ราย
จึงนำไปสู่ปฏิบัติการ "CIB breaks up online scam syndicate สกัดภัยอาชญากรรมออนไลน์ข้ามชาติ" ทำการเข้าตรวจค้นคอนโดมิเนียมหรู 5 แห่ง ในพื้นที่ กทม. และมีการขยายผลจับกุมผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมที่บริเวณชายแดนไทย - มาเลเซีย โดยตำรวจสามารถตรวจยึดของกลาง แบ่งเป็น คอมพิวเตอร์ 33 เครื่อง, โทรศัพท์มือถือ 65 เครื่อง, สมุดบัญชีธนาคาร 84 เล่ม, บัตรกดเงิน 13 ใบ, ซิมการ์ด 25 อัน, กระเป๋าแบรนด์เนม 15 ใบ, นาฬิกาแบรนด์เนม 7 เรือน,วัตถุคล้ายทอง 15 ชิ้น และรถยนต์หรู 1 คัน
จากการตรวจสอบประวัติ MR.LI สัญชาติมาเลเซีย (ผู้ต้องหาที่ 1) พบว่ามีประวัติเคยต้องโทษ ถูกดำเนินคดีที่ประเทศมาเลเซีย ในข้อหาเปิดหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีเงินฝากของตน(บัญชีม้า) รับโอนเงินจากการกระทำความผิดมาแล้วกว่า 5 ครั้ง ก่อนจะเข้ามาพักอาศัยในประเทศไทยได้ประมาณ 3 ปี โดยไม่พบประวัติการทำงานในไทยแต่อย่างใด
จากการสอบถามคำให้การเบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ให้การรับสารภาพบางข้อกล่าวหา โดยรับสารภาพว่าได้รับว่าจ้างจากนายทุนชาวต่างชาติ ให้หาบุคคลเพื่อจดจัดตั้งนิติบุคคลและเปิดบัญชีธนาคารในนามนิติบุคคลเพื่อให้สอดคล้องกับแอปพลิเคชันที่ใช้ในการหลอกลงทุน เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ และหลบเลี่ยงการตรวจสอบการทำธุรกรรมทางการเงินของภาครัฐ ซึ่งเมื่อดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วนายทุนชาวต่างชาติจะส่งคนมา รับบัญชีที่ประเทศไทย โดยได้รับค่าจ้างในการดำเนินการดังกล่าวเริ่มต้นครั้งละ 100,000 บาท ทำมาแล้ว 2 ปีกว่า ก่อนจะมาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง จับกุมไว้ดังกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี