ปูดหมดเปลือกเส้นทางเงินส่วย ‘ทนายตั้ม’ไล่ทุกตัวละคร-รีดค่าตั๋ว 18 ธุรกิจสีเทา โยง‘บิ๊กตำรวจ’ ต่อสายตรง‘บิ๊กเต่า’นำข้อมูลหลักฐานเข้าแจ้งความ 28 มี.ค.นี้
26 มีนาคม 2567 ที่ Sittra Law Firm นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ “ทนายตั้ม” เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ตั้งโต๊ะแถลงเปิดโปงขบวนการเรียกรับส่วย เชื่อมโยงบิ๊กตำรวจระดับนายพล พร้อมเปิดหลักฐานเส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงตำรวจระดับสูง 3 นาย ได้แก่ “ดาบยาว” ยศ ด.ต. , “รองฟาง” ยศ พ.ต.ท. ซึ่งเป็นคนสนิทของบิ๊กตำรวจยศ “พล.ต.อ.”
นายษิทรา เริ่มจากตัวละครแรก คือ “ดาบยาว” ทำหน้าที่เป็นคนรวบรวมจากทุกทีม เพื่อนำส่งขึ้นไปเบื้องบน ตัวละครต่อมาคือ “รองฟาง” ซึ่งเป็นคนสนิทของ “พล.ต.อ.” ซึ่งหากดูการแถลงข่าวนี้อยู่ คงจะโกรธตนอย่างแน่นอน
เรื่องนี้ต้องย้อนไปในสมัยที่ “พล.ต.อ.” รับผิดชอบ 2 หน่วยงาน คือ คอมมานโด และกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) นอกจากนั้น พล.ต.อ. ยังส่งคนของตนเองไปอยู่กับตำรวจไซเบอร์ หรือกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ซึ่งบอกได้เลยว่าตำรวจนายใดที่ได้ไปอยู่หน่วยตำรวจไซเบอร์ ไม่อยากย้ายไปที่ไหนอีก เพราะที่นั่นมีผลประโยชน์มหาศาลจากเว็บพนันออนไลน์
นายษิทรา ระบุว่า แต่ครั้งนี้ที่ตนออกมาพูดเรื่องส่วยไม่ใช่เฉพาะ สอท. แต่เป็น 2 กองบังคับการ (บก.) และ 1 กองบัญชาการ (บช.) ซึ่งมีคำเรียกว่า “ตีตั๋ว” ไล่ตั้งแต่ 1.เว็บพนันออนไลน์ 2.บ่อนการพนัน 3.เงินกู้ไทย-แขก 4.หวยใต้ดิน 5.สถานบันเทิง แน่นอนมีเรื่องการเปิดเกินเวลา หรือมีสิ่งผิดกฎหมาย 6.ร้านนวดที่มีแฝงการขายบริการทางเพศ 7.อาบอบนวด 8.โรงซาวนา ซึ่งมีเรื่องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 9.ร้านเหล้าที่มี PR 10.บุหรี่ไฟฟ้า 11.บุหรี่หนีภาษี
12.ตลาดนัด เพราะมีการขายสินค้าผิดกฎหมาย เช่น สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ บุหรี่ไฟฟ้า บุหรี่หนีภาษี สินค้ามือสองต่างๆ ที่อาจมีของถูกโจรกรรมปะปนมา จ่ายเดือนละ 2-3 หมื่นบาท ขึ้นอยู่กับความสำคัญของแต่ละ บก. 13.สถานประกอบการที่ใช้แรงงานต่างด้าวที่ไม่มีบัตร 14.จุดรับซื้อน้ำมันเถื่อน 15.น้ำมันเขียวที่รัฐช่วยชาวประมง แต่มีเจ้าใหญ่ไม่กี่รายที่เป็นยี่ปั๊ว
16.โต๊ะสนุ๊กเกอร์ 17.หัวหน้าแขกที่เอาแขกมาเดินขายโรตี ซึ่งตามกฎหมายห้ามชาวต่างชาติขายของอยู่แล้ว จึงต้องเคลียร์ตั้งแต่ระดับ สน. ถึงส่วนกลาง และ 18.คนขายยาปลุกเซ็กซ์ และมีเพศสัมพันธ์ไลฟ์สดเพื่อขายยาดังกล่าว ซึ่งก็มีการเจาะไปถึงเจ้าของเพจ แล้วเรียกให้มาจ่ายค่าตั๋ว เดือนละเท่าไรก็ว่ากันไป
นายษิทรา อ้างว่า ทีมเก็บส่วยจากกิจการต่างๆเหล่านี้ แบ่งงานกันทำเป็น 5 ภาค คือ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคใต้ ในจำนวนนี้ทีมภาคตะวันออก ดูแลภาค 2 ทั้งหมด รวมถึงมีทีมนครบาล 1 , 4 และปทุมธานี ส่วนทีมภาคใต้ใช้ระบบเหมาจ่าย โดยให้ตำรวจท้องที่ดำเนินการ เช่น ขอยอด 1 แสนบาท หากเก็บได้มากกว่านั้นก็ส่งนายแค่ 1 แสนบาท ที่เหลือท้องที่เอาไป
ทั้งนี้ ทีมภาคตะวันออก ซึ่งตนจะขอเรียกว่าทีมแม่บ้านที่ 1 มี “จ่ากอล์ฟ” เป็นหัวหน้าชุด รวมถึงมีดาบเท่ง , ดาบพัฒน์ , ดาบต้อง และดาบเจี๊ยบ ทีมนี้ส่งตั๋วประมาณ 8-9 ล้านบาทต่อเดือน
ทีมที่ 2 ซึ่งจะดูภาค 3 ภาค 4 และภาค 7 มี “ดาบชาติ” เป็นหัวหน้าชุด
ทีมที่ 3 ดูแลโซนภาค 1 นครบาลบางพื้นที่ แม่บ้านหรือหัวหน้าทีมชื่อ “ดาบสิงห์”
ทีมที่ 4 ซึ่งคอยเก็บยอดของ สอท. ปคม. และคอมมานโด ดูแลโซนภาค 5 และภาค 6 หัวหน้าชุดคือ “ดาบบู”
ทีมที่ 5 ซึ่งดูตั๋วภาค 8 และภาค 9 เก็บได้ไม่เยอะ ใช้วิธีเหมาจ่าย มี “ดาบยักษ์” เป็นหัวหน้าชุด
ส่วนการใช้บัญชีม้าสำหรับรวบรวมส่วยต่างๆ “ดาบยาว” ที่ถือบัญชีม้า 2 ชื่อ คือ นายณัฐพงศ์ และนายมงคล และ “รองฟาง” ที่ถือบัญชีม้าชื่อนายคชาชาญ ขณะที่บัญชีม้าในการดูแลของ “จ่ากอล์ฟ” พบมีชื่อผู้เสียชีวิต คือ นายสำฤทธิ์ ถูกนำมาใช้เปิดบัญชีด้วย ก็น่าคิดว่าทำธุรกรรมได้อย่างไร นอกจากนั้นก็จะเป็นบัญชีชื่อ น.ส.ตุ่ย , นายนาคิน และมีการเปิดบัญชีชื่อนายอนุชิต สำหรับรับเงินจากเว็บโดยเฉพาะ และนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีทีมส่งเงินอีกหลายทีม การเคลียร์ยอดจะทำทุกๆวันที่ 25 ของเดือน
“ทนายตั้ม” อ้างว่า สถานที่เคลียร์ยอดก็จะทำกันในอาคารที่ตั้งของหน่วย โดยในส่วนของ สอท. ตนทราบว่า มีการเคลียร์ยอดกันที่โต๊ะทำงานของ “รองฟาง” รวมถึงเป็นห้องที่ “พล.ต.ต.” ทำงานอยู่ ซึ่งตนไม่ได้กล่าวหาว่ารับเงิน ท่านจะรู้หรือไม่ ตนไม่ทราบ แต่ตนบอกว่าเขาใช้ห้องนี้ ขณะที่ “รองฟาง” นั้น ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่งที่ได้รับ แต่อยู่ที่อะไรก็ไปคิดกันดูเอง ส่วนการส่งยอดของคอมมานโด จะส่งกันที่ห้องด้านในสุดของชั้น 6
นายษิทรา เปิดเผยภาพที่อ้างว่าเป็นสลิปโอนเงินจากตู้ ATM เข้าบัญชีจำนวน 1 แสนบาท จาก “จ่าก็อป” ถึง “ดาบยาว” , แอปพลิเคชั่นที่ใช้จัดการบัญชีม้า ซึ่งระบุยอดเงิน และแชทสนทนาที่พูดคุยเรื่องการโอนเงิน ทั้งนี้เมื่อเคลียร์ยอดเรียบร้อยแล้ว “รองฟาง” จะโอนเบี้ยเลี้ยงให้ลูกชุดที่เป็นตำรวจหน่วยคอมมานโด และเป็นชื่อบัญชีจริง นั่นหมายถึงมีตำรวจได้รับเงินจากบัญชีม้าจริง
“5 ต.ค.2565 ทำไมผมถึงให้เน้นยอดนี้ เพราะช่วงนั้นมีใครบางคนทำสนามยิงปืน พอทำสนามยิงปืนก็ต้องใช้เงินเยอะ พอใช้เงินเยอะก็ให้ลูกน้องไปหาเงินกันมา ปกติจะต้องจ่ายกันปลายเดือน นี่เอาตั้งแต่วันที่ 5 เลย ขอเบิกเงินก่อน 8 แสน จริงๆเป็นล้าน อีก 2 แสนเขาจ่ายเป็นเงินสด เพราะต้องเอาเงินไปทำสนามยิงปืนให้เสร็จ ลองดูวันละกัน ช่วงหลังโควิด ก็มีการส่งสลิปให้หัวหน้าชุดว่าได้มีการโอนยอดไปที่นายณัฐพงศ์ ก็คือเป็นบัญชีม้าของดาบยาว” นายษิทรา กล่าว
นายษิทรา กล่าวว่า มีตัวอย่างของการไปถอนเงินจากบัญชีม้า ช่วงปลายเดือน พ.ย.-ต้นเดือน ธ.ค. 2566 ยอดรวมราว 6.1 ล้านบาท พบว่าทุกครั้งที่มีการถอนเงินจะเกิดขึ้นที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาเมืองทองธานี ทั้งหมด นั่นเพราะอยู่ใกล้กับที่ตั้งของ สอท. บอกได้เลยถ้าไปสืบดูจะเจออะไรมากกว่าที่ตนเจอ ขึ้นอยู่กับว่าผู้มีอำนาจจะทำหรือไม่
พร้อมกับโชว์ภาพเงินสดที่ระบุว่าเป็นของหน่วยต่างๆ และภาพที่อ้างว่าเป็นรถกระบะซึ่งเมื่อตรวจสอบเลขทะเบียนพบเป็นชื่อบิดาของรองฟาง ขับเข้าไปกดเงินในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง โดยดาบยาวเป็นคนพาบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ตำรวจไปกด
อย่างไรก็ตาม ตนมองว่า ตำรวจชุดนี้ถึงถือเงินก็ไม่มีความสุข โดยจะมีช่วงว่างคือวันที่ 26 ถึงวันสิ้นเดือน วันที่เหลือคือต้องตามเก็บตั๋ว ไม่ได้ทำงานเพื่อประชาชน เก็บมาแล้วก็ต้องมากินเลี้ยงสังสรรค์ ตนก็ไปได้ภาพใบเสร็จของร้านอาหารมาอีก ตกอยู่ที่หมื่นกว่าบาท ไปไถเงินพม่า 500 บาท เท่าไรไม่รู้จากทั่วประเทศ แต่ชีวิตดี กินดื่มทุกวัน ส่วนบิลนี้ตนได้มา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าใครถ่ายไว้ แต่ต้องเอาไปใช้เบิกเงิน ซึ่งความเป็นอยู่ของลูกน้องของ “พล.ต.อ.” ค่อนข้างดี ที่ดูแล ปคม. สอท. และคอมมานโดนั้นดีมาก น่าจะเลี้ยงดี
“ทนายตั้ม” กล่าวว่า คำถามคือเรื่องทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับ พล.ต.อ. อย่างไร ตนขอย้อนไปยังตอนที่ข่าวจับกุมเว็บพนัน BNK Master ในเครือข่ายของ น.ส.พิมพ์พิไล ก็พบว่า น.ส.พิมพ์พิไล เคยโอนเงินเข้าบัญชีของนายคชาชาญ และนายณัฐพงศ์ โดย น.ส.พิมพ์พิไล ถือบัญชีม้าชื่อนางหัสราวดี และใช้บัญชีของตนเองด้วย โดยใช้บัญชีชื่อ น.ส.พิมพ์พิไล โอนเงินเข้าบัญชีชื่อนายคชาชาญ และจากนายคชาชาญ ถูกโอนเข้าบัญชีของ พ.ต.อ. 3 นาย และนายดาบตำรวจ (ด.ต.) 2 นาย
นายษิทรา กล่าวว่า บัญชีม้าชื่อนายคชาชาญ ยังถูกโอนไปที่บัญชีม้าชื่อนายณัฐพงศ์ ซึ่งดาบยาวดูแลอยู่ และดาบยาวได้ใช้บัญชีนี้โอนเงินให้ลูก-เมีย และคนสนิทของตนเอง ยังมีการโอนไปที่ผู้สื่อข่าวประจำกองปราบปรามของ นสพ.ฉบับหนึ่ง รวมไปถึงสมาคมนักข่าว และโอนให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกกลุ่มหนึ่ง แต่ที่น่าสนใจคือมีการโอนเงินจากบัญชีชื่อนายณัฐพงศ์ ไปยังบัญชีของบุคคลนามสกุลดัง ซึ่งเป็นนามสกุลเดียวกับ พล.ต.อ. ดังนั้น พล.ต.อ. จะต้องถูกดำเนินคดีด้วยหรือไม่ เพราะบัญชีม้ามีการโอนเงินไปยังคนในครอบครัว
“ที่ปกปิดกันอยู่เพราะอะไร? หรือกฎหมายเราจะเว้นไว้สำหรับประชาชนที่ถูกดำเนินคดีได้ล่ะ? แล้วระดับ พล.ต.อ. ที่เส้นใหญ่ เราทำเป็นไม่เห็น ไม่ต้องไปยุ่งกับเขาเพราะว่าเขาใหญ่ เราอยากให้สังคมเป็นแบบนี้ไหม? เราอยากให้สังคมเลือกปฏิบัติไหม? วันนี้ผมออกมาพูด ผมบอกเลยว่าเรื่องซวยมาถึงผมแน่ แล้วผมก็บอกผมไม่ใช่คนดีอะไร แต่วันนี้ผมออกมา ผมก็ต้องการให้สังคมเปลี่ยนแปลง ผมยอมเจ็บเลย วันนี้ออกมา ปรึกษาครอบครัวแล้วว่าถ้าเกิดออกมาโดนอีกแน่ๆ” นายษิทรา กล่าว
นายษิทรา กล่าวอีกว่า เมื่อ 3 ปีก่อน ตนเล่นงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องไบโอเมทริกซ์ เจอ 6 คดี 2 หมายจับ ปัจจุบันตนก็ยังต้องขึ้นศาลอยู่ ยอมรับว่าคิดมาก จะออกมาดีไหม แต่ตนโชคดีที่มีภรรยาที่เสียสละ บอกว่าหากทำแล้วสังคมดีขึ้นก็ทำเลย ตนจึงออกมาพูดในครั้งนี้ ย้ำว่าไม่ได้เอาแสงเอาซีน เพราะได้แสงมาก็เจอขุดแผลต่อ ตนก็เป็นคนมีแผล โดนทุกรอบ แต่รอบนี้ไหนๆ จะโดนแล้วก็ให้สังคมได้ประโยชน์
“ทนายตั้ม” กล่าวอ้างอีกว่า ตนยังพบเส้นทางการโอนเงินจาก น.ส.พิมพ์พิไล เข้าบัญชีชื่อนางหัสราวดี ไปบัญชีชื่อนายคชาชาญ และไปสมทบทุนสร้างวิหารวัดแห่งหนึ่งใน จ.นนทบุรี พร้อมกับโชว์ภาพโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ให้บริจาคเงินเพื่อสร้างวิหารดังกล่าว ซึ่งมีกำหนดการว่าในวันที่ 12 พ.ย. 2566 พล.ต.อ. จะไปเป็นประธานในพิธี มี 2 ยอดที่มีการโอนเงิน คือ 5 แสนบาท กับ 2 แสนบาท
“ฝากถึงตำรวจ สอท. ปคม. และคอมมานโด อย่ามาโกรธตนที่ออกมาแฉเรื่องนี้ แต่ให้ไปโกรธหัวหน้าหน่วยของท่าน เพราะเอาชื่อหน่วยไปหากิน ลองเทียบกับหน่วยพิเศษหนุมาน ถามว่าเคยได้ยินว่าใช้ชื่อไปเก็บตั๋วหรือไม่ ตนไม่ได้อวยแต่พูดบนความเป็นจริง นั่นเขาตั้งหน่วยเฉพาะกิจกมาเพื่อทำงาน ดังนั้นไม่ต้องเอาหน่วยคอมมานโดมาบุกบ้านตน ทั้งนี้ เส้นเงินและหลักฐานทั้งหมดที่ตนนำมาเปิดเผยในครั้งนี้ ตนก็ไม่รู้จะไปแจ้งความที่ไหน หรือจะทำอย่างไรต่อไปดี” นายษิทรา กล่าวอ้าง
“ทนายตั้ม” ยืนยันว่า ตนไม่ได้รับงานใครในการนำข้อมูลมาเปิดเผยครั้งนี้ และไม่ได้มีใครอยู่เบื้องหลัง แต่ต้องการให้สังคมรับรู้ข้อมูลและเกิดประโยชน์ ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง แม้จะรู้ว่าอาจได้รับอันตรายจากการออกมาเปิดเผย ก่อนจะมีการแถลงข่าวมีนายตำรวจใหญ่ติดต่อมาเพื่อขอทราบข้อมูล แต่ไม่ได้ขอให้ยกเลิกการแถลงข่าว
“พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ช่วงราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ก็โทรศัพท์มาขอให้ยกเลิก เนื่องเกรงว่าจะส่งกระทบทำให้ไม่ได้กลับเข้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ตนเองยืนยัน จะนำข้อมูลมาเปิดเผย” นายษิทรา กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการแถลงข่าว ทนายตั้ม ระบุว่าจะมีนายตำรวจที่กล้ารับข้อมูลเส้นเงินของตนทำคดีหรือไม่ และเมื่อพบว่า พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. ดูตนเองlive จึงขอให้ผู้สื่อข่าวที่มีเบอร์โทรติดต่อ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ช่วยต่อโทรศัพท์ให้หน่อย ซึ่ง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ก็รับสาย แต่ระบุไม่สะดวกอยู่ต่างจังหวัด จึงตกลงประสานนัดหมายนำเอกสารหลักฐานทั้งหมดเข้าแจ้งความในวันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม เวลา 11.00 น.
นายษิทรา กล่าวด้วยว่า หากนายเศรษฐา ทวีวิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เห็นการแถลงข่าวและเห็นว่าข้อมูลที่นำมาเปิดเผยมีประโยชน์ สามารถตั้งคณะกรรมการขึ้นมาทำให้เรื่องนี้ ได้รับการดำเนินการให้ถูกต้องโดยไม่มีการยกเว้นตำรวจคนใด หรือขอข้อมูลเพิ่มเติม ก็ยินดีจะเข้าไปพบด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี