มูลนิธิอาเซียน ภายใต้การสนับสนุนของ Google.org ได้เปิดเผยผลการวิจัยและข้อมูลเชิงลึกต่างๆเกี่ยวกับความฉลาดรู้ด้านดิจิทัลในงานสัมมนาระดับภูมิภาคอาเซียน ภายใต้หัวข้อ “One Divide or Many Divides? Underprivileged ASEAN Communities’ Meaningful Digital Literacy and Response to Disinformation” การศึกษานี้ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมทางดิจิทัลของเหล่าชุมชนในภูมิภาคอาเซียนที่ด้อยโอกาส โดยจะวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ในหลายมิติ อาทิ ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ และการตอบสนองต่อการบิดเบือนข้อมูล โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับบทบาทของความรู้ด้านดิจิทัลในการรับรู้และตอบสนองต่อการบิดเบือนข้อมูลภายในชุมชนเหล่านี้
การวิจัยนี้เป็นหนึ่งในโครงการสำคัญของโครงการเสริมสร้างความฉลาดรู้ด้านดิจิทัลในอาเซียน (ASEAN Digital Literacy Programme : ASEAN DLP) ซึ่งโครงการนี้ได้ช่วยเหลือผู้คนมากกว่า 190,000 คนทั่วอาเซียนให้ได้รับทักษะด้านดิจิทัลที่จำเป็น อีกทั้งโครงการ ASEAN DLP นำโดยกลุ่มที่ปรึกษาเยาวชนอาเซียน (Youth Advisory Group : YAG) ซึ่งเป็นผู้นำร่องแคมเปญผ่านโซเชียลมีเดียที่เข้าถึงผู้คนได้กว่า 3,000 คน ผ่านกิจกรรมนอกสถานที่ และเชื่อมต่อกับผู้คนมากกว่า 900,000 คน บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียนอกจากนี้ ยังได้มีการเปิดตัวแพลตฟอร์มอี-เลิร์นนิ่ง(E-Learning) ที่จะช่วยรับมือกับการให้ข้อมูลที่ผิดและการบิดเบือนข้อมูล บนเว็บไซต์ www.Digital ClassASEAN.org
“ในขณะที่โครงการเสริมสร้างความฉลาดรู้ด้านดิจิทัลในอาเซียนครั้งล่าสุดได้จบลง มูลนิธิอาเซียนขอเชิญเหล่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเชิงกลยุทธ์เข้าร่วมและหารือเกี่ยวกับรายงานการศึกษาและการวิจัย โดยงานวิจัยนี้ครอบคลุมถึงการสำรวจเชิงปริมาณและการรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพจากประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ การนำเสนอในการประชุมสัมมนาในครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมสามารถรับฟังข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำจากประเทศสมาชิก และพร้อมทั้งส่งเสริมให้เกิดการสนทนาในเชิงลึกกับเหล่านักวิจัยจากแต่ละประเทศ เราหวังว่างานวิจัยนี้จะช่วยเป็นสะพานเชื่อมความแตกต่างทางดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียน และสร้างพื้นที่ดิจิทัลที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน”ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการบริหารมูลนิธิอาเซียน กล่าว
ตามรายงานระดับความคิดอย่างมีวิจารณญาณและความสามารถในการปกป้องความเป็นส่วนตัวของประชากรในประเทศสมาชิกอาเซียนมีความแตกต่างกันอย่างมาก โดยเฉพาะที่ประเทศไทยซึ่งมีเปอร์เซ็นต์ของบุคคลที่มีทักษะในการคิดอย่างมีเหตุผลสูงที่สุดเพียง 25% เปรียบเทียบกับประเทศกัมพูชาที่มีสัดส่วนที่น่าประทับใจถึง 62.2% ในขณะที่ฟิลิปปินส์ก็ยังคงตามหลังอยู่ในด้านการปกป้องความเป็นส่วนตัว โดยมีเพียง 17.42% ของบุคคลที่มีความชำนาญสูง ในขณะที่สิงคโปร์นั้นมีตัวเลขนี้คิดเป็นร้อยละ 54.37%
โดยประเทศไทยมีช่องโหว่ชัดเจนในการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลระหว่างพื้นที่ในเมืองและชนบท ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการวิเคราะห์และความชำนาญเกี่ยวกับข้อมูลในหมู่ประชากร โดยมีอัตราส่วนที่ต่ำที่สุดของการคิดคิดอย่างมีวิจารณญาณสูง (25%) และความชำนาญเกี่ยวกับข้อมูล (42.58%) ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่ากลุ่มประเทศในอาเซียนอื่นๆ ที่ได้รับการสำรวจ แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามปรับปรุงการเข้าถึงอินเตอร์เนตและการผนวกรวมเทคโนโลยีดิจิทัลในการศึกษาตามที่เน้นไว้ในแผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ.2560-2579) และขยายเครือข่ายอินเตอร์เนตบรอดแบนด์ไปยังพื้นที่ชนบทที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ผ่านโครงการต่างๆ เช่น เนตประชารัฐ และกฎหมายบริการสาธารณะ (USO) อย่างไรก็ตาม ประเทศยังต้องเผชิญกับมีความท้าทายที่ยังคงอยู่ โดยเฉพาะในกลุ่มคนชายขอบและผู้ด้อยโอกาส
ระดับความเชื่อมั่นที่ต่ำในสื่อโซเชียลมีเดีย (42.97%) และความมั่นใจในการแบ่งปันข่าวสารสะท้อนให้เห็นถึงจำนวนของข่าวเท็จที่มีอยู่อย่าง
แพร่หลาย จึงเกิดความจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการที่สมดุลและมีประสิทธิภาพมารองรับการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ นอกจากนี้ ยังมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการพยายามของรัฐบาลในการต่อต้านข่าวปลอม โดยมีนิยามที่ไม่ชัดเจนและอาจมีการปกปิดความคิดเห็นที่ต่าง การปิดกั้นการมองเห็นเนื้อหาและการจำกัดตัวเองในการสื่อสารมีอยู่อย่างแพร่หลายในกลุ่มนักข่าวและผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ ดังนั้น การพยายามของประเทศไทยในการเพิ่มการเข้าถึงและความรู้ด้านดิจิทัลจะต้องมีกลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณและส่งเสริมการต่อสู้กับข้อมูลที่ไม่แม่นยำอย่างมีประสิทธิภาพ
จากข้อมูลที่ค้นพบครั้งนี้ มูลนิธิอาเซียนมีเป้าหมายที่จะจุดประกายการเสวนาและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเหล่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อจัดการกับความท้าทายด้านความรู้ดิจิทัลในหลายมิติที่ภูมิภาคอาเซียนกำลังเผชิญ โดยมีจุดประสงค์เพื่อการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของชุมชน
ต่อข้อมูลที่เป็นเท็จ หรือบิดเบือนผ่านโครงการที่ให้ความรู้ดิจิทัลที่ครอบคลุมและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยคำนึงถึงความแตกต่างของโครงสร้างพื้นฐาน อิทธิพลทางสังคม วัฒนธรรม และความคิดริเริ่มที่แตกต่างกันในภูมิภาคอาเซียน
มาริจา ราลิค หัวหน้าประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Google.org กล่าวว่า เรามีความภาคภูมิใจที่ได้สนับสนุนมูลนิธิอาเซียนในการเพิ่มทักษะดิจิทัลด้านต่างๆ แก่ผู้คนทั่วทั้งภูมิภาค เพื่อให้รู้ทันสื่อ และปลอดภัยในโลกออนไลน์ โดย Google.org มีความตั้งใจที่จะส่งเสริมความปลอดภัยด้านดิจิทัลให้สอดคล้องกับพันธกิจของมูลนิธิอาเซียนในการเสริมศักยภาพชุมชนอาเซียนผ่านการรู้เท่าทันดิจิทัล ซึ่งจะส่งผลให้อาเซียน
มีความยืดหยุ่นทางดิจิทัล” โดยก่อนหน้านี้ ทาง Google.org ได้ให้การสนับสนุนแก่มูลนิธิอาเซียน จำนวน 1.5 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือการดำเนินการตามโครงการเสริมสร้างความฉลาดรู้ด้านดิจิทัลในอาเซียน (ASEAN Digital Literacy Programme: DLP) ตั้งแต่ปี พ.ศ.2565-2567
นอกจากนี้ การประชุมสัมมนาระดับภูมิภาคอาเซียนยังได้รับเกียรติจากประธานคณะกรรมการมูลนิธิอาเซียน ตัวแทนจาก Google.org ตัวแทนจากสำนักเลขาธิการอาเซียน พันธมิตรท้องถิ่นของโครงการ DLP หน่วยงานต่างๆ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนรู้ทางดิจิทัลในภูมิภาคมาร่วมงาน โดยการสัมมนาได้ปิดท้ายลงด้วยการอภิปรายใต้หัวข้อ “From Divide to Empowerment : Strategies for Inclusive Digital Literacy in ASEAN” ที่มีการสนทนาในประเด็นเกี่ยวกับกลยุทธ์การเสริมสร้างศักยภาพสู่ความรู้ด้านดิจิทัลแบบครอบคลุม โดยเฉพาะในชุมชนผู้ด้อยโอกาสในภูมิภาคอาเซียน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี