ปลัด มท.ชี้หากไม่มีปฏิวัติซ้ำเชื่อรัฐบาลหนุนท่องเที่ยวเติบโต ชู"นครพนมโมเดล"เมืองสายมูคู่วัฒนธรรม หอการค้ามั่นใจเศรษฐกิจท่องเที่ยวเติบโตปีละกว่าพันล้านบาท
เมื่อวันที่ 5 เม.ย.67 ที่ผ่านมาที่ศาลากลางจังหวัดนครพนม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว สมาชิกวุฒิสภา นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายธนพัต ทีฆธนานนท์ ประธานหอการค้าจังหวัดนครพนม ร่วมกับตัวแทนภาครัฐ เอกชน และประชาชน ร่วมประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการยกระดับเมือง และกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืน เพื่อขานรับนโยบายรัฐบาลเกี่ยวกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวยกระดับเมืองรองเป็นเมืองหลัก
โดยจังหวัดนครพนมถือเป็นหนึ่งใน 10 จังหวัดที่จะได้รับการยกระดับจากเมืองรองเป็นเมืองหลัก ประกอบด้วย จ.แพร่, ลำปาง, นครสวรรค์, นครพนม, ศรีสะเกษ, ราชบุรี, กาญจนบุรี, นครศรีธรรมราช, ตรัง และ จ.จันทบุรี ทั้งนี้ จ.กาญจนบุรี ที่ปัจจุบันเป็นเมืองท่องเที่ยวหลักอยู่แล้ว เพราะมีนักท่องเที่ยวเกิน 4 ล้านคน แต่ก็มีการบรรจุไว้ในโมเดลนี้ด้วย เนื่องจากนายกรัฐมนตรีต้องการยกระดับให้เกิดวันพักค้างของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น โดยเน้นการจัดอีเว้นท์ด้านแสงสี เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเพิ่มจำนวนวันพักของนักท่องเที่ยวมากขึ้น
ในการประชุมได้มีการหารือร่วมกันระหว่างภาครัฐ องค์กรเอกชน ได้แก่ หอการค้าไทย, จังหวัดนครพนม, เทศบาลเมืองนครพนม และหอการค้าจังหวัดนครพนม เกี่ยวกับทิศทางการส่งเสริมการท่องเที่ยว เน้นเส้นทางสายมูเตลู (Mutelu) ควบคู่กับวัฒนธรรมท้องถิ่น ไปจนถึงการส่งเสริมอาชีพภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่จะสร้างจุดขายการท่องเที่ยวของแต่ละพื้นที่ทั้ง 12 อำเภอในจังหวัดนครพนม ที่สำคัญจังหวัดนครพนมยังได้เสนอแนวทางการพัฒนา เตรียมจัดสร้าง ชิงช้าสวรรค์ริมแม่น้ำโขง บริเวณสวนเทิดพระเกียรติท้ายเมือง หอชมเมืองที่ออกแบบอย่างสวยงาม สื่อความหมายถึง 9 ชนเผ่า 2 เชื้อชาติในจังหวัด โดยปักหมุดสร้างที่สวนชมโขง รวมถึงการพัฒนาระบบสิ่งแวดล้อม จัดสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยลงแม่น้ำโขง ที่จะเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบปลอดภัย
หลังการประชุมที่ศาลางกลางเสร็จในตอนเที่ยง ช่วงบ่ายได้มีการแถลงข่าว ความร่วมมือ และทิศทางการพัฒนาการส่งเสริมการท่องเที่ยวของ จ.นครพนม ที่โรงแรมบลูโฮเทล โดยนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทย มีความพร้อมในการขานรับนโยบาย เกี่ยวกับการส่งเสริมการยกระดับเมืองรองเป็นเมืองหลักของการท่องเที่ยว โดยเฉพาะจังหวัดนครพนมถือว่ามีจุดแข็ง เรื่องสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ มีพญาศรีสัตตนาคราช พญานาค 7 เศียร ที่สายมูศรัทธากราบไหว้ พระธาตุพนมถือเป็นองค์ปฐมมหาเจดีย์แห่งอีสาน และพระธาตุบริวารประจำวันเกิดครบ 7 วัน โดยได้กำชับให้ผู้ว่าทุกจังหวัด รวมถึง จ.นครพนม เน้นสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชน ภาคประชาชน เตรียมพร้อมในการเป็นเจ้าบ้านที่ดี รวมถึงสร้างความร่วมมือในการส่งเสริมการท่องเที่ยว เน้นจุดขายเรื่องการท่องเที่ยวทุกอำเภอ ยกระดับอาชีพภูมิปัญญาท้องถิ่นสร้างรายได้ ควบคู่กับการส่งเสริมการท่องเที่ยว ที่สำคัญจะต้องสนับสนุนสร้างปฏิทินการท่องเที่ยวให้ได้ตลอดทั้งปี
"มั่นใจว่ากระทรวงมหาดไทย จะสามารถขานรับนโยบายรัฐบาล ด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว ทำให้เศรษฐกิจการค้าขายดีขึ้นอย่างแน่นอน ผมเชื่อมั่นว่ารัฐบาลยุคนี้มีความสามารถที่จะดูแลพัฒนาด้านการท่องเที่ยวของไทยให้เติบโตมากยิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ และเชื่อมั่นว่าหากไม่มีการปฏิวัติซ้ำ การท่องเที่ยวของประเทศไทยจะเติบโตอย่างแน่นอน ขอให้มั่นใจกระทรวงมหาดไทยมีความพร้อมในการส่งเสริมการท่องเที่ยวทุกระดับ" ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าว
ด้านนายธนพัต ทีฆธนานนท์ ประธานหอการค้าจังหวัดนครพนม ได้นำเสนอศักยภาพและเป้าหมายของจังหวัดสู่การเป็น Restination สู่เมืองหลักแห่งการพักผ่อน นอกเหนือจากการตั้งเป้า GPP 7% ต่อเนื่องตลอด 5 ปีแล้วยังเน้นการเพิ่มรายได้ต่อหัวของประชาชน 5% ต่อปี เพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยวจาก 5,000 ล้านบาท ให้เติบโตถึง 8,700 ล้านบาทภายในปี 2571 ขณะที่ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยว จำนวน 2,500,000 คน ให้เพิ่มขึ้นเป็น 3,680,000 คน ภายในปี 2571
โดยใช้กลยุทธ์ 5 สร้าง ได้แก่ 1.สร้างตัว (CITY FACILITIES) ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานมุ่งสู่เมือง Net Zero โดยมี QUICK WIN PROJECT ได้แก่ โครงการก่อสร้างระบบรวบรวม และบำบัดน้ำเสียในเขตพื้นที่เทศบาลเมืองนครพนม 3 จุด ซึ่งเป็นโครงการเร่งด่วนที่จะช่วยให้สภาพแวดล้อม ระบบนิเวศ และคุณภาพชีวิตของชาวนครพนมดีขึ้น รวมถึงโครงการอื่น เช่น โครงการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร โครงการ Mekong River Eye, การพัฒนาถนนคนเดิน, จัดสร้างหอชมเมือง เป็นต้น 2.สร้างภาพ (Branding) ผ่านโครงการสร้างอัตลักษณ์เมือง (DNA) 3.สร้างเรื่อง ODOD (One Day One District) สร้างคุณค่า เติมเต็มเรื่องราว ให้ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นรายอำเภอ 4.สร้างชื่อ ต่อยอดผลิตภัณฑ์สู่ระดับประเทศ ยกระดับอำเภอนาหว้า หรือ นาหว้าโมเดล ผ่านการจัด NAKHONPHANOM FASHION WEEK หรือ Co-Branding กับ Designer ทีมที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย และ 5.สร้างโลก (CITY EVENTS) ยกระดับกิจกรรมต่าง ๆ ของจังหวัดนครพนม ภายใต้แนวทาง FAITH CITY (เมืองแห่งศรัทธา) ชูเอกลักษณ์ท้องถิ่น และสร้างภาพจำให้เกิดการเข้าร่วมงานอย่างต่อเนื่อง เช่น ผลักดันเทศกาลไหลเรือไฟโลก เป็นต้น
ส่วนแผนการยกระดับ 10 เมืองรองสู่เมืองหลัก กลยุทธ์ที่ 1 Unlock Potential เมืองรอง ได้แก่ 1. เร่งการส่งเสริมการลงทุน และการให้อินเซ็นทีฟในพื้นที่ เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการลงทุน 2. การสร้างแลนด์มาร์ก ด้านการท่องเที่ยว อาหาร วัฒนธรรม และส่งเสริมเอกลักษณ์ อัตลักษณ์วัฒนธรรมไทยที่ดี เชื่อมโยงโครงการ One Family One Soft Power (OFOS)
กลยุทธ์ที่ 2 สร้างสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดี ได้แก่ พัฒนาระบบสาธารณูปโภค (นํ้าประปา ไฟฟ้า อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง) ระบบสาธารณสุข เทคโนโลยีและการสื่อสารที่ทันสมัยทั่วถึง 2. การสร้างเมืองรองเป็นโมเดลต้นแบบเมือง Net Zero รวมถึงระบบจัดการขยะให้ครบวงจรด้วยระบบ Reduce, Reuse,Recycle
กลยุทธ์ที่ 3 ช่วยเหลือเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ได้แก่ 1. กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยให้ทั่วถึง เพิ่มรายได้ให้เอสเอ็มอี โดยการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายและเพิ่มมูลค่าของสินค้า 2. มาตรการส่งเสริมให้คนเก่ง (Talent) ที่เป็นคนไทยกลับสู่ภูมิลำเนา และแรงงานศักยภาพสูงชาวต่างชาติ เข้ามาทำงานในพื้นที่ และ 3. ส่งเสริมการจ้างงานเฉพาะกลุ่ม ได้แก่ คนพิการ กลุ่มผู้สูงอายุ ในพื้นที่ นอกจากนี้การยกระดับยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว คมนาคม การค้า และการจัดเทศกาลเชื่อมโยงไปยังจังหวัดใกล้เคียงด้วย - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี