ฟังเสียงนายจ้างบ้าง! โพลเผย ‘SME’กังวลขึ้นค่าแรง400กระทบต้นทุน-ชี้ที่จ่ายอยู่ยังมากไปด้วยซ้ำ
วันที่ 29 เมษายน 2567 ผศ.ดร.วชิร คูณทวีเทพ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลการสำรวจเรื่อง “ทัศนะผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ไทย หลังการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท” เก็บข้อมูลผู้ประกอบการ 403 ราย ระหว่างวันที่ 22-26 เม.ย. 2567 แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ภาคบริการ ร้อยละ 30.1 ภาคการผลิต ร้อยละ 36.9 และภาคการค้า ร้อยละ 33 แบ่งตามรูปแบบกิจการ บุคคลธรรมดา ร้อยละ 51 นิติบุคคล ร้อยละ 17.6 และอื่นๆ (เช่น ทะเบียนพาณิชย์ กลุ่มแม่บ้าน คณะบุคคล) ร้อยละ 31.4
เป็นธุรกิจรายย่อย (Micro) ร้อยละ 89.3 และธุรกิจขนาดย่อม (Small) ร้อยละ 10.7 มีแรงงานเฉลี่ยในกิจการ 4 คน ธุรกิจส่วนใหญ่ ร้อยละ 82.4 มีรายได้ต่อเดือนเฉลี่ย 100,001-500,000 บาท รองลงมา ร้อยละ 8.8 50,001-100,000 บาท อันดับ 3 ร้อยละ 4.9 มากกว่า 1 ล้านบาทขึ้นไป อันดับ 4 ร้อยละ 2.9 500,001-1,000,000 บาท และอันดับ 5 ร้อยละ 1 ต่ำกว่า 5 หมื่นบาท ซึ่งพบว่า
1.SME กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 70.3 ใช้แรงงานมากกว่าเครื่องจักร รองลงมา ร้อยละ 16.5 ใช้เท่าๆ กัน มีเพียงร้อยละ 13.2 ที่ใช้เครื่องจักรมากกว่าแรงงาน เมื่อถามต่อไปว่า อนึ่ง สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้แรงงานมากกว่าเครื่องจักร ร้อยละ 52.2 เชื่อว่าเครื่องจักรจะทดแทนแรงงานได้ ด้วยเหตุผล กำลังผลิตของแรงงานไม่สามารถเทียบเท่าเครื่องจักรได้ และเครื่องจักรมีความแม่นยำมากกว่ามนุษย์ ส่วนอีกร้อยละ 47.8 ไม่เชื่อว่าเครื่องจักรจะทดแทนแรงงานได้ เพราะเป็นงานที่ใช้ทักษะฝีมือ ภาษาหรือความรู้เฉพาะด้าน หรือเป็นงานบริการที่ใช้การพูดคุยระหว่างบุคคล
ทั้งนี้ เมื่อจำแนกเป็นกลุ่มธุรกิจ พบว่า ในภาคบริการ เป็นกลุ่มธุรกิจที่ใช้แรงงานคนมากที่สุดถึงร้อยละ 93.5 และเป็นภาคที่กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 61.7 ไม่เชื่อว่าจะนำเครื่องจักรมาใช้ทดแทนมนุษย์ได้ ซึ่งตรงข้ามกับภาคการผลิต ที่พบการใช้แรงงานคนมากกว่าเครื่องจักร ร้อยละ 44.7 แต่ที่่ใช้เครื่องจักรมากกว่าแรงงานคนก็มีถึงร้อยละ 34.7 และร้อยละ 52.9 เชื่อว่าเครื่องจักรทดแทนแรงงานคนได้ เช่นเดียวกับภาคการค้า ที่แม้ปัจจุบันจะใช้แรงงานคนมากถึงร้อยละ 71.8 แต่ก็มีถึงร้อยละ 57.1 ที่เชื่อว่าเครื่องจักรทดแทนแรงงานคนได้
2.ในส่วนของค่าจ้างแรงงานปัจจุบัน กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 20.8 จ่ายค่าจ้างรายวันตั้งแต่ 400 บาทขึ้นไป รองลงมาแบบใกล้เคียงกัน ร้อยละ 20.7 จ่ายค่าจ้าง 381-399 บาท อันดับ 3 ร้อยละ 18.6 361-380 บาท อันดับ 4 ร้อยละ 15.5 321-340 บาท อันดับ 5 ร้อยละ 14.7 341-360 บาท โดยมีเพียงร้อยละ 9.7 เท่านั้น ที่จ่ายค่าจ้างรายวัน 300-320 บาท โดยต้นทุนค่าจ้างนั้น แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ ร้อยละ 56.1 คิดเป็นตั้งแต่ร้อยละ 21-40 ของต้นทุนกิจการ และร้อยละ 43.9 คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 20 ของต้นทุนกิจการ ทั้งนี้ ภาคบริการ เป็นธุรกิจที่มีการจ่ายค่าจ้างมากกว่าวันละ 400 บาทมากที่สุด
3.เมื่อถามว่าการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 400 บาท เหมาะสมหรือไม่กับทักษะฝีมือของแรงงานในปัจจุบัน กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 67.4 หรือราว 2 ใน 3 มองว่าไม่เหมาะสม ส่วนอีกร้อยละ 32.6 มองว่าเหมาะสม โดยกลุ่มที่มองว่าปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทไม่เหมาะสมนั้น ร้อยละ 44.4 เห็นว่า ควรให้ค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 361-380 บาท รองลงมา ร้อยละ 29.6 เห็นว่าควรอยู่ที่ 381-400 บาท และอันดับ 3 ร้อยละ 20.4 ควรอยู่ที่ 341-360 บาท จึงจะเหมาะสม อนึ่ง เมื่อแยกเป็นภาคธุรกิจ ภาคบริการเห็นว่าควรอยู่ที่ 375 บาท ภาคการผลิต 366 บาท และภาคการค้า 387 บาท จึงจะเหมาะสม
“ถ้าเรามาดูทัศนะแยกตามภาคการผลิต ภาคการค้าและภาคบริการ เราจะพบว่า ภาคที่มองว่าไม่เหมาะสมเลยคือภาคการผลิต ประมาณ 74.8% โดยเขามองว่าค่าจ้างเฉลี่ย ณ ปัจจุบันที่อยู่ เราจ่ายเฉลี่ยอยู่ 372 บาท ซึ่งค่อนข้างสูง แต่ว่าจริงๆ แล้ว เขามองว่าเหมาะกับต้นทุนค่าจ้างในการใช้จ่ายโดยเฉลี่ย น่าจะอยู่ประมาณ 366 บาท ทีนี้พอมาภาคการค้า จ่ายอยู่ประมาณ 395 บาท ณ ปัจจุบัน แต่เขามองว่าจริงๆ แล้วมันควรจะอยู่ที่ประมาณ 387 บาท ถ้าภาคบริการควรอยู่ที่ประมาณ 375 บาท ซึ่งต่ำกว่าที่เขาจ่าย ณ ปัจจุบัน (413 บาท)” ผศ.ดร.วชิร กล่าว
ผศ.ดร.วชิร กล่าวต่อไปว่า ดังนั้นแล้วค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท ในมุมมองธุรกิจมองว่าอาจสูงเกินไป เพราะอาจทำให้ค่าจ้างในภาพรวมปรับสูงกว่าที่ผู้ประกอบการจ่าย และมองว่าค่าจ้างที่เหมาะสมจริงๆ แล้วควรจ่ายน้อยกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเสียด้วยซ้ำไป อย่างไรก็ตาม ในภาคการผลิต จะมีกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ กับกลุ่มสิ่งทอและแฟชั่น ที่ที่แนวโน้มมองว่าค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 400 บาทเหมาะสมแล้ว โดยกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ มองว่าต้องใช้แรงงานที่เป็นช่างฝีมือ ส่วนกลุ่มสิ่งทอและแฟชั่น เป็นกลุ่มที่ยอมรับว่าหาแรงงานมาทำได้ยาก
อีกด้านหนึ่ง ในภาคบริการ พบว่า กลุ่มโรงแรมและเกสต์เฮาส์ เป็นกลุ่มเดียวที่เห็นด้วยสูงมากถึงระดับ 100% ว่าควรจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำที่ 400 บาท และกลุ่มดังกล่าว ณ ปัจจุบันก็จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 418.2 บาท รองลงมาคือกลุ่มท่องเที่ยวและสันทนาการ เห็นด้วยร้อยละ 67.3 ซึ่งปัจจุบันจ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 422 บาท และอันดับ 3 กลุ่มร้านอาหาร/ภัตตาคาร เห็นด้วยร้อยละ 57.8 ซึ่งปัจจุบันจ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 412.6 บาท
4.กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 48.7 กังวลมากหากมีนโยบายปรับค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นไปอยู่ที่วันละ 400 บาท โดยให้เหตุผลว่า จะทำให้ต้นทุนของธุรกิจเพิ่มสูงขึ้นในขณะที่่ทักษะการทำงานของลูกจ้างยังคงเท่าเดิม และยังมีต้นทุนอื่นๆ ที่สูงขึ้นด้วย เช่น ค่าน้ำมัน ไฟฟ้า ฯลฯ รองลงมา ร้อยละ 22.6 กังวลปานกลาง ร้อยละ 18.2 กังวลน้อย โดยมีเพียงร้อยละ 10.5 ที่บอกว่าไม่กังวลเลย เพราะยังพอแบกรับต้นทุนได้
“ผลกระทบต่อธุรกิจถ้าหากขึ้น 400 บาท เขามองว่าเรื่องของยอดขายเขาอาจลดลงได้ แล้วก็ต้นทุนจะเพิ่มขึ้นประมาณ 12.3% กำไรลดลงประมาณ 7.3% ราคาสินค้าและบริการของเขา เขาน่าจะขยับขึ้นประมาณ 7.5% ซึ่งอาจส่งผลทำให้ยอดขายของเขาปรับตัวลดลงตามราคาที่เขาต้องปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น สภาพคล่อง ความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งความสามารถในการชำระหนี้ จะมีแนวโน้มทิศทางที่ได้รับผลกระทบในระดับที่มาก” ผศ.ดร.วชิร ระบุ
ผศ.ดร.วชิร ยังกล่าวอีกว่า สำหรับแนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการ หากมีนโยบายปรับค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นไปอยู่ที่ 400 บาทต่อวัน อันดับ 1 ร้อยละ 24.5 ปรับขึ้นราคาสินค้าหรือบริการ รองลงมา ร้อยละ 17.2 ลดปริมาณ อันดับ 3 ร้อยละ 14.2 ลดต้นทุนด้านอื่นๆ (เช่น ค่าวัตถุดิบ) อันดับ 4 ร้อยละ 11.5 เพิ่มการใช้เครื่องจักรหรือเทคโนโลยี อันดับ 5 ร้อยละ 9.8 ปลดพนักงาน อันดับ 6 ร้อยละ 8.7 เลิกกิจการ อันดับ 7 ร้อยละ 7.5 จ้างแรงงานขาวต่างชาติ และอันดับ 8 ร้อยละ 6.9 จ้างผลิต (OEM)
5.กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 64.7 ที่ตอบว่าจะปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการหากมีนโยบายขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 400 บาท พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 43.5 จะปรับขึ้นมากกว่าร้อยละ 15 รองลงมา ร้อยละ 34.8 บอกว่าจะปรับขึ้นร้อยละ 6-10 อันดับ 3 ร้อยละ 17.4 ปรับขึ้นร้อยละ 11.5 มีเพียงร้อยละ 4.3 เท่านั้นที่จะปรับขึ้นเพียงร้อยละ 1.5 ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างที่ตอบว่าจะปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 42.9 ยังเผยด้วยว่า จะปรับขึ้นภายในระยะเวลา 1 เดือน รองลงมา มี 2 กลุ่ม อยู่ร้อยละ 28.6 เท่ากัน คือปรับขึ้นภายในเวลา 2 เดือน และภายในเวลา 3 เดือน
ขณะที่กลุ่มตัวอย่างอีกร้อยละ 35.3 ที่ตอบว่าจะไม่ปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการหากมีนโยบายขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 400 บาท ให้เหตผล เช่น ปรับลดปริมาณสินค้าแทน ลดต้นทุนด้านอื่นๆ หรือลดจำนวนแรงงานลง รวมถึงพยายามทนเพราะยังพอมีกำไร 6.ความคาดหวังของผู้ประกอบการกลุ่มคัวอย่างต่อมาตรการช่วยเหลือจากรัฐ อันดับ 1 ร้อยละ 74.8 ลดภาระต้นทุนอื่นๆ เช่น สาธารณูปโภค รองลงมา ร้อยละ 72.8 ลดภาษีเงินได้ (นิติบุคคล-บุคคลธรรมดา) อันดับ 3 ร้อยละ 70.9 ชดเชยเงินต้นทุนค่าจ้างแรงงาน
อันดับ 4 ร้อยละ 68.9 จ่ายเงินอุดหนุนกิจการ อันดับ 5 ร้อยละ 67 เพิ่มช่องทางการเข้าถึงแหล่งทุน อันดับ 6 ร้อยละ 66 ชดเชยเงินสมทบประกันสังคม อันดับ 7 ร้อยละ 65.7 ลดภาษีมูลค่าเพิ่ม อันดับ 8 ร้อยละ 64.1 เพิ่มการอบรมทักษะอาชีพให้แก่แรงงาน อันดับ 9 ร้อยละ 63.1 เพิ่มหลักสูตรวิชาชีพ (ปวช./ปวส.) อันดับ 10 ร้อยละ 62.7 สนับสนุนการนำเข้าเครื่องจักรหรือเทคโนโลยี และอันดับ 11 ร้อยละ 56.3 พักชำระหนี้
“รูปแบบหรือวิธีการขึ้นค่าจ้างที่เหมาะสมและข้อเสนอแนะในมุมผู้ประกอบการ คือผู้ประกอบการบอกว่า อยากให้ปรับขึ้นตามความสามารถในการทำกำไรของแต่ละธุรกิจโดยพิจารณาจากต้นทุนจริงๆ มีคนตอบประมาณ 31.3% แล้วก็กำหนดค่าจ้างแบบลอยตัว ขึ้นอยู่กับความต้องการของ (ตลาด) แรงงานนั้นๆ อยู่ที่ 25.3% แล้วก็ปรับขึ้นตามภาระเศรษฐกิจ 18.2% แล้วก็ปรับขึ้นค่าแรงตามกำหนดของคณะกรรมการค่าจ้าง 17.7% มีปรับขึ้นตามนโยบายหาเสียงประมาณ 7.6%” ผู้ช่วยอธิการบดี ม.หอการค้าไทย กล่าว
ผศ.ดร.วชิร สรุปความในตอนท้ายของกาผลการสำรวจครั้งนี้ว่า ในส่วนของข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ 1.ควรร่วมกันหารือกับผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกภาคส่วน เพื่อกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสม และต้องประเมินในหลายมิติ 2.ส่งเสริมมาตรการทางการเงินและการอุดหนุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้กับผู้ประกอบการโดยเฉพาะรายเล็ก 3.ส่งเสริมทักษะของลูกจ้างให้สอดคล้องกับการปรับขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำ 4.ช่วยเหลือภาระต้นทุนอื่นๆ เช่น ปัจจัยการผลิต ค่าสาธารณูปโภค ราคาน้ำมัน
5.เร่งส่งเสริมผู้ประกอบการ SME รายเล็ก และยกระดับขีดความสามารถให้กับภาคธุรกิจ รวมถึงช่วยเหลือในการเข้าถึงแหล่งทุน ลดดอกเบี้ยเงินกู้ 6.เพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชน กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก กระจายรายได้ให้กับธุรกิจท้องถิ่น และ 7.พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ การหาช่องทางการตลาดใหม่และการออกแบบสินค้าตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี