กู้ภัยซัดกันนัวแย่งคนเจ็บ มูลนิธิร่วมกตัญญูวังทอง แจ้งความถูกมูลนิธิเพชรเกษมกรุงเทพฯ ยกพวก 40 คน รถ 10 คัน ล้อมทำร้าย 

วันที่ 10 มิถุนายน 2567 จากกรณี เมื่อช่วงกลางดึกของวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทกันระหว่างมูลนิธิร่วมกตัญญู และมูลนิธิเพชรเกษมกรุงเทพ โดยฝั่งอาสามูลนิธิร่วมกตัญญูผู้ถูกทำร้ายร่างกาย ได้เข้าช่วยเหลือเหตุรถจักรยานยนต์เสียหลักล้มเพราะหักหลบสุนัข อาสาฝั่งมูลนิธิเพชรเกษมกรุงเทพก็ได้มีการเข้าช่วยเหลือเช่นเดียวกัน และเกิดการวิวาทกันระหว่าง 2 มูลนิธิฯ โดยฝั่งอาสามูลนิธิร่วมกตัญญูได้มีการมาแจ้งความที่ สน.วังทองหลาง หลังจากเกิดเหตุทันที

นายชัยวุฒิ แสงสุขสว่าง อายุ 36 ปี อาสาฯมูลนิธิร่วมกตัญญูวังทอง คนเจ็บในเหตุการณ์ เล่าว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา ตนได้ขับรถกับน้องอีก 1 คน ไปรับคนเจ็บ ตนมาถึงที่เกิดเหตุก่อนประมาณ 10 นาที กำลังให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บโดยการปฐมพยาบาลเบื้องต้นและกำลังนำตัวส่ง รพ. ในขณะนั้นก็มีอาสาสมัครมูลนิธิเพชรเกษมกรุงเทพ ขับรถมาประมาณ 10 คัน ประมาณ 30-40 คน ล้อมรอบรถตนเองไว้ ไม่ให้นำส่งคนเจ็บ ก่อนจะลงรถมาหาเรื่อง ตะโกนโวยวาย จับใจความได้ว่า "ให้คนเจ็บไปกับคนอื่น ส่วนมึงอยู่กับกูก่อน" จากนั้นก็มีการตรงเข้ามาทำร้ายร่างกายตนกับน้องที่มาด้วยกัน โดยฝั่งตรงข้ามมีอาวุธเป็นไม้เบสบอลที่หยิบได้แถวนั้น 

โดยยอมรับว่าเคยมีปัญหากันก่อนหน้านี้ ในเรื่องของการส่งคนเจ็บ เมื่อวันมี่ 7 มิ.ย. โดยทางอาสาสมัครมูลนิธิเพชรเกษมกรุงเทพ ได้นำคนเจ็บไปส่งคนละ รพ.กับที่ญาติบอก หลังจากนั้นญาติก็ติดต่อมูลนิธิไม่ได้ จึงติดต่อมาทางมูลนิธิของตนให้นำคนเจ็บไปส่ง รพ.ตามสิทธิการรักษาตามที่ญาติบอก หลังจากนั้นหนึ่งคู่กรณีฝั่งมูลนิธิเพชรเกษมก็ได้โพสด่าตนผ่านในเฟซบุ๊ค จนล่าสุดมาเจอกันเมื่อคืนที่ผ่านมา และเกิดเหตุทะเลาะวิวาทดังกล่าว

โดยตนได้รับบาดเจ็บที่บริเวณ กกหูซ้าย แก้มซ้าย แผ่นหลัง และน้องกู้ภัยที่มาด้วยกัน โดนไม้เบสบอลที่ตีที่หน้าขาขวา หลังจากเกิดเหตุตนก็ขับรถมายัง สน.วังทองหลางเพื่อแจ้งความ ข้อหาทำร้ายร่างกาย และในวันนี้เจ้าหน้าที่ ตร. ได้เรียกทั้ง 2 ฝ่ายมาไกล่เกลี่ย

ซึ่งตนมองว่าปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นบ่อย แก้ไม่ได้สักที ต้องให้ผู้ใหญ่ทางศูนย์วิทยุเอราวัณจัดการอย่างเด็ดขาด จัดโซนวิ่งเขตใครเขตมัน จะได้ไม่เกิดปัญหาลักษณะนี้ 

นายชัยวุฒิ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า เดินทางไปยังสน.วังทองหลาง  หลังตำรวจนัดหมายคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย เข้าเจรจาพูดคุยปรับความเข้าใจกันในเวลา 14.00 น. พร้อมทั้งได้เล่าปมเหตุการทะเลาะวิวาทว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา ตนเองกับคู่กรณีเคยมีปัญหากันมาก่อน จากปัญหาเรื่องการส่งผู้บาดเจ็บไปโรงพยาบาล เพราะคู่กรณีซึ่งเป็นอาสาสมัครมูลนิธิเพชรเกษมกรุงเทพได้นำผู้บาดเจ็บไปส่งคนละโรงพยาบาลกับที่ญาติผู้บาดเจ็บร้องขอ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลตามสิทธิประกันสังคมของผู้บาดเจ็บ เมื่อญาติต้องการประสานจะให้กู้ภัยนำผู้บาดเจ็บย้ายโรงพยาบาลก็ไม่สามารถติดต่อได้ ญาติจึงติดต่อไปทางมูลนิธิร่วมกตัญญูแทน ตนเองจึงได้รับมอบหมายให้นำผู้บาดเจ็บย้ายไปส่งโรงพยาบาลตามสิทธิ์ประกันสังคม แต่กลับถูกคู่กรณีโพสต์ด่าผ่านเฟซบุ๊ก

จนกระทั่งเมื่อคืนนี้ ตนเองต้องไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บรถจักรยาน ยนต์ล้ม และตนเองได้รายงานผ่านวิทยุสื่อสารไปยังศูนย์ ทำให้คู่กรณีทราบพิกัดของตนเอง และตามมาหาเรื่องระหว่างที่ตนเองกำลังจะนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล โดยคู่กรณีได้นำรถมาขวางประมาณ 10 คัน มีพวกของคู่กรณีรวมประมาณ 30-40 คน ล้อมรถของตนเองไว้ ไม่ให้นำส่งผู้บาดเจ็บ และได้ตะโกนโวยวายใส่ตนเอง บอกให้ตนเองออกมาเคลียร์ปัญหา ตนเองพยายามบอกว่าขอนำผู้บาดเจ็บไปส่งโรงพยาบาลก่อนแล้วจะกลับมาเคลียร์แน่นอน แต่คู่กรณีไม่ยอม บอกให้ผู้บาดเจ็บไปกับคนอื่นแทน ซึ่งผู้บาดเจ็บเห็นดังกล่าวก็ตกใจกลัวมาก รีบหนีลงจากรถและขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้านไปก่อน จากนั้นคู่กรณีก็เข้ามาต่อยตนเองเข้าที่กกหูซ้าย แก้วซ้าย และหลัง ร่วมถึงวิ่งไล่อาสาสมัครกู้ภัยอีกคนที่มากับตนเอง และใช้ไม้ที่น่าจะหยิบมาจากบริเวณนั้น ตีเข้าที่ขาขวา ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน พร้อมยืนยันว่าเหตุการณ์เมื่อคืนคู่กรณีไม่ได้จะมาแย่งรับผู้บาดเจ็บ แต่ต้องการมาหาเรื่องตนเอง

ด้านนายพิมพ์ชนก ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู เปิดเผยว่า เหตุการณ์ความรุนแรงดังกล่าวเกิดจากปัญหาที่มีมาก่อนหน้านี้ แต่ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุเมื่อคืน ช่วงเย็นวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูได้ไปจอดรถพูดคุยกับคู่กรณีเพื่อเคลียร์ปัญหากันมาก่อนแล้ว แต่เรื่องลุกลามจนเกือบจะมีเรื่องใช้กำลังกัน แต่ก็แยกย้ายกันไปได้ จนกระทั่งเกิดเหตุดังกล่าวในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา โดยในส่วนมูลนิธิร่วมกตัญญูยืนยันว่าไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรง และไม่เจรจาไกล่เกลี่ยกับหน่วยงานกู้ชีพที่อยู่นอกระบบการแพทย์ฉุกเฉิน เพราะหากปล่อยให้มีการเจรจาและเรื่องจบกันบนโต๊ะ ก็อาจทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำอีก แต่ที่ตำรวจนัดหมายทั้งสองฝ่ายมาเจรจาในวันนี้ก็ให้เป็นหน้าที่ตามกระบวนของตำรวจไป

อย่างไรก็ตาม มูลนิธิร่วมกตัญญูยืนยันว่าสามารถทำงานร่วมกับมูลนิธิอื่นได้ เพราะปัจจุบันในระบบการแพทย์ฉุกเฉินมีการทำงานช่วยเหลือผู้บาดเจ็บร่วมกับ 8 องค์กร และแม้เหตุที่เกิดขึ้นจะมาจากการโต้เถียงบนโซเชียลมีเดีย และส่งผลกระทบต่อการทำงานในพื้นที่ ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่าสังคมจะมองว่าเป็นการแย่งผู้บาดเจ็บ ก็ต้องยอมรับว่าเป็นความจริงส่วนหนึ่ง แต่เป็นการที่ฝั่งคู่กรณีมาแย่งผู้บาดเจ็บฝั่งของตนเอง แต่สิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลยคือการทำร้ายร่างกายกันต่อหน้าประชาชนซึ่งเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บ 

ด้านนายบอย หากระสัง อายุ 25 ปี ผู้ประสบอุบัติเหตุที่อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูเข้าช่วยเหลือ ก่อนที่จะเกิดการปะทะกับมูลนิธิเพชรเกษม โดยเจ้าตัวเล่าว่า ตนเองขี่รถจักรยานยนต์ชนสุนัขได้รับบาดเจ็บเส้นเอ็นระหว่างไหปลาร้าและไหล่อักเสบฉีก มีบาดแผลถลอกฟกช้ำที่ใบหน้าและศีรษะ จากนั้นอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูจึงได้เข้าช่วยเหลือปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนที่จะให้ตนเองขึ้นรถ เตรียมพาส่งโรงพยาบาล ระหว่างนั้นก็มีรถของมูลนิธิคู่กรณีขับมาจอดปิดรอบด้าน ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถพาตนเองไปส่งโรงพยาบาลได้ จากนั้นมูลนิธิคู่กรณีก็มาโวยวายใส่ ลักษณะมาหาเรื่องคนขับรถมูลนิธิร่วมกตัญญู โดยไม่ได้สนใจว่าตนเองบาดเจ็บอยู่ภายในรถ ซึ่งคนขับก็ได้ลงไปพยายามเคลียร์และขอร้องว่าจะพาตนเองไปส่งโรงพยาบาลก่อน แต่ก็ไม่เป็นผล โดยเถียงกันอยู่ประมาณ 10 นาทีและเริ่มชุลมุนกัน ตนเองเห็นท่าไม่ได้ ประกอบตนเองรู้สึกเจ็บมาก ใบหน้าปูดบวม ลืมตาไม่ขึ้น ยกแขนไม่ขึ้นแล้ว ต้องการไปโรงพบาบาลให้เร็วที่สุด จึงรีบเปิดประตูลงจากรถด้วยตนเอง และกลับไปหาภรรยา ก่อนที่จะให้ภรรยาโทรเรียกรถมูลนิธิร่วมกตัญญูอีกชุดหนึ่งมารับตนเองไปส่งโรงพยาบาล โดยตลอดเวลาที่ตนเองลงจากรถมา มูลนิธิคู่กรณีก็ไม่ได้สนใจตนเองเลย จึงคิดว่าไม่ใช่การแย่งผู้บาดเจ็บ แต่น่าจะมีปัญหาส่วนตัวกันมาก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ตนเองมองว่าอยากให้ผู้ที่เป็นอาสาสมัครกู้ภัยควรที่จะช่วยเหลือผู้บาดเจ็บเป็นสำคัญ ส่วนจะมีปัญหาอะไรกันนั้น ก็ควรจะไปเคลียร์กันภายหลัง