ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย ซึ่งมีพื้นที่ปลูกประมาณ 19.28 ล้านไร่ กระจายเกือบทุกภูมิภาค จากเดิมที่ปลูกเฉพาะภาคใต้และภาคตะวันออกเท่านั้น แต่ใช่ว่าพื้นที่ทุกแห่งจะเหมาะสมกับการปลูกยางพารา ล่าสุดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ออกประกาศกำหนดเขตเหมาะสมสำหรับการปลูกพืช (โซนนิ่ง) 6 ชนิด ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน อ้อยโรงงาน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยวิเคราะห์ความเหมาะสมของที่ดิน กับปัจจัยความต้องการของพืชตามสภาพที่มีการเพาะปลูกพืชแต่ละชนิดในปัจจุบัน ร่วมกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น เขตป่าไม้ตามกฎหมาย เขตพื้นที่โครงการชลประทาน เป็นต้น
สำหรับยางพารามีพื้นที่ที่เหมาะสมในการปลูกทั้งสิ้น 68 จังหวัด 499 อำเภอ 2,251ตำบล แบ่งเป็น ภาคกลาง 8 จังหวัด ภาคตะวันออก 7 จังหวัด ภาคเหนือ 17 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด และภาคใต้ 14 จังหวัด ซึ่งในแต่ละจังหวัดนั้นกระทรวงเกษตรฯได้ส่งข้อมูลไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแล้วว่า พื้นที่บริเวณไหนบ้างที่เหมาะสมและไม่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม การจะให้เกษตรกรที่ปลูกยางพาราไปแล้ว แต่อยู่นอกเขตโซนนิ่ง หันไปปลูกพืชชนิดอื่นๆทดแทนนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะยางพาราเป็นไม้ยืนต้น กว่าจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ต้องใช้เวลาถึง 7 ปี ดังนั้นจึงต้องอาศัยช่วงเวลาที่เหมาะสม ในการแนะนำให้เกษตรกรโค่นยางพาราแล้วปลูกพืชอย่างอื่นทดแทน และที่สำคัญพืชที่ปลูกทดแทนนั้น ควรจะเป็นไม้ยืนต้น ที่ให้ผลตอบแทนไม่แตกต่างหรือดีกว่ายางพารา
สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการจัดระบบโซนนิ่งยางพารา เหตุด้วยเพราะภารกิจหลักของ สกย.ที่มีบทบาทและหน้าที่ในการให้การสงเคราะห์ การทำสวนยาง และการสงเคราะห์ปลูกพืชแทนด้วยไม้ยืนต้นชนิดอื่นที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ
นายประสิทธิ์ หมีดเส็น รองผู้อำนวยการ สกย. รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการ สกย. กล่าวว่า สกย.ได้มีการสนับสนุนเรื่องของการจัดทำโซนนิ่งมานานแล้ว โดยได้มีการส่งเสริมให้เปลี่ยนจากการปลูกยางพาราเป็นปาล์มน้ำมันในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมสำหรับการปลูกยาง โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำ พื้นที่นา พื้นที่ที่มีน้ำท่วมซ้ำซาก อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานจะให้เห็นผลเป็นรูปธรรมและยั่งยืนได้นั้นจะต้องดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยจะแนะนำให้เกษตรกรโค่นยางพาราเฉพาะสวนที่ปลูกมาแล้วไม่ต่ำกว่า 25 ปี ซึ่งจะให้ผลผลิตต่ำไม่คุ้มค่า
“ปกติเมื่อยางพารามีอายุมากกว่า 25 ปี น้ำยางจะลดน้อยลงไม่คุ้มค่าที่จะกรีด จำเป็นจะต้องโค่นปลูกใหม่ ดังนั้น หากพื้นที่ดังกล่าวไม่อยู่ในพื้นที่โซนนิ่งยางพารา สกย. ก็จะแนะนำให้เกษตรกรปลูกพืชยืนต้นชนิดอื่นๆ โดยเฉพาะปาล์มน้ำมันทดแทน โดย สกย.จะให้อัตราการสงเคราะห์การปลูกปาล์มน้ำมันแทนยางพาราที่สูงถึง 26,000 บาทต่อไร่ ในขณะที่ปลูกยางพาราจะได้รับเงินสงเคราะห์เพียง 16,000 บาทต่อไร่เท่านั้น” รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการ สกย. กล่าว
สำหรับพื้นที่นอกเขตโซนนิ่งที่ สกย.เข้าไปแนะนำให้ปลูกปาล์มน้ำมันทดแทน จะอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำของภาคใต้ ในเขตจังหวัดพัทลุง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี กระบี่ พังงา และระนอง ส่วนพื้นที่นอกเขตโซนนิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกยางพาราใหม่นั้น ยางพารายังมีอายุน้อย บางแปลงยังไม่ได้เปิดกรีดด้วยซ้ำ จำเป็นจะต้องรอให้อายุมากกว่า 25 ปี หรือใกล้เคียง 25 ปีก่อนแล้ว สกย.ถึงจะเข้าไปแนะนำให้โค่นทิ้งแล้วปลูกพืชยืนต้นชนิดอื่นๆที่ให้ผลตอบแทนไม่แตกต่างกันทดแทน
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาผลตอบแทนที่ได้รับจากการปลูกปาล์มน้ำมัน กับยางพาราที่ปลูกในพื้นที่โซนนิ่งไม่แตกต่างกันเลย ยิ่งถ้านำไปเปรียบเทียบกับยางพารานอกเขตโซนนิ่งแล้ว ปาล์มน้ำมันดีกว่า ทำงานเหนื่อยน้อยกว่า ดูแลรักษาง่ายกว่า
นอกจากนี้ในอนาคตนั้น ยางพาราจะมีการแข่งขันที่สูงมาก เพราะอีกไม่นานยางพาราที่ปลูกในประเทศลาว เวียดนาม กัมพูชา ก็จะเปิดกรีดแล้ว ปริมาณยางมหาศาลจะออกสู่ตลาดในขณะที่ความต้องการยังคงเท่าๆเดิม ซึ่งจะทำให้ราคายางไม่มีเสถียรภาพ แต่ปาล์มน้ำมันคู่แข่งสำคัญมีเพียงมาเลเซียเท่านั้น หากกรมวิชาการเกษตรมีการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ปาล์มน้ำมันให้ดีขึ้น ให้ผลผลิตสูงขึ้น สามารถแข่งขันกับมาเลเซียได้อย่างแน่นอน
การปลูกปาล์มน้ำมันมีข้อได้เปรียบยางพาราเช่นนี้ เกษตรกรที่ปลูกยางพาราในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมหรือปลูกนอกเขตโซนนิ่ง เมื่อยางพาราอายุมาก แนะนำให้โค่นทิ้งแล้วมาทำสวนปาล์มน้ำมันดีกว่า นอกจากจะขายไม้ยางเป็นเงินโบนัสแล้ว ยังได้รับเงินสงเคราะห์จาก สกย.ถึง 26,000 บาทต่อไร่ และอนาคตก็ยังสดใสกว่าอีกด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี