จ่าย3พัน/เดือน7ปี
‘พิพัฒน์’ผุดไอเดีย
จูงใจแรงงานไทย
‘ปั๊มลูกเพื่อชาติ’
“พิพัฒน์”ผุดไอเดีย จูงใจ“แรงงานไทย”ตาม ม.33 “ปั๊มลูกเพิ่ม” แล้วส่งให้ญาติเลี้ยงในต่างจังหวัด จะได้รับค่าสงเคราะห์บุตร จากเดือนละ 1 พันต่อเดือน เพิ่มเป็นเดือนละ3 พันบาท เป็นเวลา 7 ปี หวังแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานในอนาคต ที่ไทยเข้าสังคมผู้สูงอายุ
เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2567 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวถึงแนวคิดการให้เงินสงเคราะห์บุตรว่า การสงเคราะห์บุตรของสำนักงานกองทุนประกันสังคม (สปส.) ก่อนหน้านี้เราให้ 800 บาทต่อเดือน แต่ในปี 2568 ให้เพิ่มเป็น 1,000 บาทต่อเดือน ซึ่งผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการกองทุนประกันสังคม (บอร์ด) เรียบร้อยแล้ว แต่ส่วนตัวต้องการเพิ่มแรงจูงใจในการให้ผู้ใช้แรงงาน ตามมาตรา 33 มีบุตรเพิ่มอีก
“ผมมีแนวคิดที่จะเพิ่มประชากรให้ประเทศไทยโดยคนไทย ขอย้ำว่าเฉพาะคนไทยเพราะผู้ใช้แรงงานปัจจุบันกังวลว่าเมื่อท่านคลอดบุตรออกมาแล้ว จะมีภาระเลี้ยงดูบุตร เป็นภาระที่ยิ่งใหญ่มากโดยเฉพาะในสังคมเมือง เพราะการที่ต้องส่งลูกหรือส่งบุตรหลานไปเข้าโรงเรียนหรือเข้าสถานศึกษามีต้นทุนค่อนข้างสูง ผมมีแนวความคิดฝากให้ปลัดกระทรวงแรงงาน นำเข้าไปหารือกับบอร์ดประกันสังคม ใครที่เป็นผู้ใช้แรงงานตามมาตรา 33 เมื่อมีบุตรเพิ่มขึ้น และไปเลี้ยงดูในชนบท หรือในต่างจังหวัดเราจะให้ค่าสงเคราะห์บุตรจากเดือนละ 1,000 บาทต่อเดือน เพิ่มเป็นเดือนละ 3,000 บาทต่อเดือนตลอดระยะเวลา 7 ปี” นายพิพัฒน์ กล่าว
รมว.แรงงานกล่าวอีกว่า ตรงนี้ประกันสังคมก็ต้องควักเงินอีกก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง แต่เป็นการสร้างความถาวรให้แรงงานของไทย โดยการเพิ่มประชากรคนไทย ปัจจุบันเรามีผู้เกิดใหม่ กับผู้ที่เสียชีวิตไปไม่เท่ากัน ผู้เสียชีวิตมีมากกว่าคนที่เกิดใหม่ ฉะนั้นจึงคิดว่าประกันสังคมต้องสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกันตนว่าถ้าคุณสามารถกำเนิดบุตร เพิ่มขึ้นหนึ่งคนค่าเลี้ยงดูบุตร เราจะให้เพิ่มจาก 1,000 บาทต่อเดือน เป็น 3,000 บาทต่อเดือน
นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า มาตรการนี้คือ แนวความคิดที่ตกผลึกว่าการที่จะสร้างให้ประเทศไทยเรามีการสร้างประชากรเพิ่มขึ้น สำนักงานประกันสังคมเป็นส่วนสำคัญที่สุด และอยากเชิญชวนให้ผู้ใช้แรงงานมีบุตรเพิ่มขึ้น เป็นการสร้างความมั่นคงให้แรงงานไทย ส่วนจะกำหนดจำนวนบุตรไว้หรือไม่นั้น ประมาณการไม่ได้ แล้วแต่ผู้ประกันตน ถ้าใครอยู่ในมาตรา 33 เราให้เลย 1 คน 2 คน 3 คน แล้วแต่
อย่างไรก็ดี นายพิพัฒน์ยังให้เหตุผลที่มาตรการนี้ต้องส่งบุตรไปเลี้ยงในชนบทว่า สังคมชนบทจะได้เปรียบเพราะต้นทุนการเลี้ยงดูบุตรในชนบทถูกกว่า ฉะนั้นเราต้องสร้างจากชนบทกลับเข้าสู่เมือง เราพยายามรณรงค์ให้สังคมชนบทเข้ามาสู่เมืองโดยผ่านผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ซึ่งอยู่ทำงานในเมือง แต่ขอให้คุณมีบุตรและนำบุตรไปให้ปู่ย่าหรือตายายเลี้ยงในสังคมชนบท คุณจะได้สิทธิเลี้ยงดูบุตรทันที
นายพิพัฒน์ด้วยว่า การเสนอนี้เป็นเพียงแนวความคิด ซึ่งจะขายความคิดผ่านสื่อมวลชนเป็นเบื้องต้น และเพื่อจะนำเข้าสู่บอร์ดประกันสังคมต่อไป ส่วนตัวไม่มีอำนาจ ไม่มีสิทธิ์ไปประชุมในบอร์ดประกันสังคม เป็นหน้าที่ประธานบอร์ด โดยปลัดกระทรวงแรงงาน จึงทำได้อย่างเดียวคือ เอานโยบายฝากให้ปลัดกระทรวง ไปหารือว่าเป็นไปได้หรือไม่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี