DSI อัพเดตข้อมูล หลังใช้โดรน-โซนาร์ สำรวจเส้นทางเดินเรือ'คดีแตงโม' ที่ท่าทราย-วัดค้างคาว
วันนี้ (17 ก.พ.) เวลาประมาณ 12.30 น. ดีเอสไอแถลงหลังจากลงพื้นที่บริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา ใช้โดรนเซนเซอร์แสกน และเครื่องโซนาร์สำรวจใต้น้ำตามเส้นทางเดินเรือในช่วงเช้าที่ผ่าน
โดยนายไกรศรี สว่างศรี ผอ.ส่วนแผนที่และเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ เปิดเผยว่า อุปกรณ์ที่ใช้มี 3 ส่วน คือเครื่องโซนาร์สำรวจใต้น้ำ โดรนเก็บภาพ และโดรนเลเซอร์แสกน ในช่วงเช้าลงพื้นที่วัดค้างคาวเนื่องจากเป็นจุดที่มีการจอดเรือเป็นระยะเวลานาน ได้เก็บข้อมูลตั้งแต่บริเวณท่าเรือจนถึงประตูน้ำ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดจะนำมาประมวลผลเป็นภาพพื้นที่ที่เกิดเหตุแบบ 3 มิติ โดยการสำรวจเมื่อเช้ามีอุปสรรค เรื่องกระแสน้ำที่รบกวนเครื่องโซนาร์ให้เก็บข้อมูลได้ไม่ดีเท่าที่ควร จึงต้องใช้เวลานาน ส่วนผลการสำรวจของวันนี้กับเหตุการณ์เมื่อ 3 ปีที่แล้ว อาจจะมีเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่กรมชลประทานมีข้อมูลที่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้
ด้าน พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กล่าวเสริมว่า ข้อมูลที่ได้จากการใช้โซนาร์ เช่น จุดที่ตกน้ำ บาดแผลที่ขาโดนใบพัดจริงหรือไม่ บริเวณที่ตกมีสิ่งก่อสร้างใดที่ทำให้ขาศพเป็นแผลหรือไม่ ซึ่งช่วงเช้ายังได้เก็บตัวอย่างน้ำ เพื่อนำไปตรวจเทียบกับน้ำในปอดของแตงโม ส่วนช่วงบ่ายนี้จะดำเนินการสำรวจอีก 8 จุดทางเหนือ อาทิ เช่น ร้านอาหารบ้านตานิด ซึ่งเป็นจุดน่าสงสัยที่เรือมีการชะลอ และจะเก็บน้ำในบริเวณนี้ไปตรวจพิสูจน์ด้วย โดยผลที่ออกในสัปดาห์หน้าจะนำไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ต่างประเทศ ว่ามีข้อเสนอแนะอย่างไรบ้าง เพื่อมาช่วยในการตรวจสอบวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป ส่วนเรื่องการรับเป็นคดีพิเศษกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ ต้องตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น
ด้าน"แป๊ะซะ" เพื่อนสนิทของแตงโม กล่าวว่า มั่นใจในดีเอสไอ และบ้านพระอาทิตย์ เชื่อว่าเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์จะสามารถพิสูจน์ความจริงเรื่องนี้ ตนเสียดายที่เมื่อ 3 ปีที่แล้วไม่ได้ใช้เทคโนโลยีแบบนี้ไม่งั้นคงพบความจริงไปแล้ว ตนเชื่อว่าการดำเนินการครั้งนี้จะทำให้คนบนเรือร้อนๆหนาวๆ ส่วนข่าวลือวงในว่ามีคนกลับลำมาสารภาพ ตนคิดว่าที่คนนั้นกลับลำอาจจะเกี่ยวกับสถานะทางสังคมของคนคนนั้นที่มีไม่เท่าคนอื่นๆบนเรือ
ด้านพ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ กล่าวเพิ่มเติมถึงประเด็นโทรศัพท์ของแตงโมว่า ที่ตนไปรับโทรศัพท์จากบังแจ๊คแทนดีเอสไอเนื่องจาก ตนรู้สึกว่าโทรศัพท์อาจเป็นของปลอมตั้งแต่แรก แต่ตนคิดว่าสิ่งที่สำคัญไม่ใช่โทรศัพท์ แต่คือข้อมูลใน iCloud
ขณะที่ช่วงเวลา 13:00 น. เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ และคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนดีเอสไอ ได้ออกเรือจากบริเวณท่าเรือบ้านเรือเล็กอีกรอบ มุ่งหน้าขึ้นไปทางทิศเหนือลอดใต้สะพานพระนั่งเกล้า / สะพานพระราม 4 สะพานปทุมธานี 2 และปทุมธานี 1 มุ่งหน้าไปที่ร้านอาหารครัวบ้านตานิด โดยเส้นทางเดินเรือยึดตามข้อมูล GPS เรือเกิดเหตุ จากจุดบ้านเรือเล็กมาถึงร้านอาหารครัวบ้านตานิด ระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร
นายไกรศรี สว่างศรี ผู้อำนวยการ ส่วนแผนที่และเทคโนโลยีสารสนเทศ บอกว่า นอกจากจุดร้านอาหารจะเป็นจุดที่กลุ่มคนบนเรือแวะรับประทานอาหารกันแล้วการใช้เครื่องเลเซอร์สแกนนิ่งสแกนพื้นที่โดยรอบเพื่อตรวจหารายละเอียดอื่นๆเพิ่มเติมโดยเฉพาะเรื่องของสัญญาณโทรศัพท์ นำไปประกอบกับข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้ก่อนหน้านี้ทั้งข้อมูลทางนิติวิทยาศาสตร์และข้อมูลจากพยาน
จากนั้นก็จะไปลอยลำอยู่บริเวณท่าเรือริเวอร์เดลในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี เพื่อสแกนพื้นที่เพิ่มเติมโดยบริเวณจุดนี้มีความสำคัญอีกจุด เนื่องจากโดยปกติแล้วเรือลำเกิดเหตุจะมีเครื่องสัญญาณโซนาร์สแกน ใต้น้ำแต่จากข้อมูล GPS ที่เก็บรวบรวมไว้ก่อนหน้านี้พบว่าบริเวณจุดนี้สัญญาโซนาร์สแกนบริเวณจุดนี้หายไปจึงต้องนำ อุปกรณ์ไปสแกนพื้นที่เพื่อตรวจสอบไปประกอบกับข้อมูลอื่นๆเพิ่มเติม และยังพบว่าเรือจอดบริเวณนี้ลักษณะหันหัวเข้ากับท่าน้ำประมาณ 90 องศา
จากนั้นขบวนเรือของเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษจะแล่นมุ่งหน้าลงทางทิศใต้ไปตรวจสอบจุดอื่นๆเพิ่มเติมอีกโดยเฉพาะบริเวณสะพานพระราม 8 และบริเวณเส้นทางจุดสำคัญอื่นๆ
(อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : พบพิรุธใหม่!! บันไดเทียบเรือใกล้วัดค้างคาว เรือลอยลำนาน 1 ชั่วโมง)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี