1 พฤษภาคม 2568 นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หารือร่วมกับ นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาพอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อหาแนวทางความร่วมมือและแก้ไขปัญหาภาคเกษตรภายในประเทศและการส่งออกสินค้าเกษตรไปต่างประเทศ พร้อมด้วย คณะกรรมการสายงานเกษตรและอาหาร หอการค้าไทย โดยมี คณะผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมปศุสัตว์ กรมประมง กรมวิชาการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ เข้าร่วม ณ ห้อง 112 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยนาย อิทธิ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มุ่งดูแลชีวิตและความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยมีเป้าหมาย คือ คือ ลดตันการผลิต เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร ให้พี่น้องเกษตรกรมีรายได้เพิ่มและอยู่ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งการหารือร่วมกับคณะกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยในวันนี้ นับเป็นโอกาสที่ดี ที่จะสร้างความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาแก้ไข และขับเคลื่อนภาคการเกษตรไทยให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
สำหรับประเด็นข้อเสนอที่ทางคณะกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้นำเสนอนั้น กระทรวงเกษตรฯ ไม่นิ่งนอนใจ และได้เร่งดำเนินการติดตามแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่อง อาทิ การส่งออกทเรียนของไทยไปสาธาธารณรัฐประชาชนจีน โดยได้มีการตั้งคณะทำงานติดตามแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด เพิ่มห้องแลปตรวจสาร Basic Yellow2 (BY2) ให้เร็วขึ้น จนสามกรถปลดล็อคส่งออกทเรียนไทยได้สำเร็จ สร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศคู่ค้า ในส่วนของข้อกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ขอยืนยันและให้ความมั่นใจว่า กระทรวงเกษตรฯ ยึดหลักรักษาผลประโยชน์ของพี่น้องเกษตรกรเป็นสำคัญ การนำเข้าสินค้าจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกร โดยจะพิจารณาการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารที่จำเป็นที่ประเทศไทยยังมีการขาดแคลน
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมสนับสนุนความร่วมมือกับคณะกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย อาทิ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมแซ่เยือกแข็งไทย การยกระดับอาหารแห่งอนาคต (Future Food) ส่งเสริมเกษตรกรผู้เลี้ยงผ้า บูรณาการความร่วมมือขับเคลื่อนศูนย์ประสานงานและประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรและอาหาร (AFC) ซึ่งข้อเสนอต่างๆ สอดล้องกับแผนการดำเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ต้องการให้เกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดี มีรายได้มั่นคงและยั่งยืน
ขณะที่ด้านนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการ กล่าวว่าทากได้หารือแนวทางความร่วมมือและแก้ไขปัญหาภาคเกษตรภายในประเทศและการส่งออกสินค้าเกษตรไปต่างประเทศ ยอมรับว่าภาคเกษตรและอาหารมีความสำคัญ อย่างยิ่งต่อการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตสินค้าเกษตร และส่งออกไปยังต่างประเทศ นับว่าเป็นฟันเฟืองสำคัญส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการจ้างงานแต่ด้วยสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบัน อาทิ มาตรการภาษีของสหรัฐฯ (US Trade Barrier) ที่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของประเทศ อีกทั้ง ปัญหาสถานการณ์การส่งออกทุเรียนของไทยไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ได้กำหนดให้ผู้ส่งออกต้องแนบรายงานผลการทดสอบ (Test Report) ของสาร Basic Yellow 2 โดยหากไม่ได้การแก้ไขเป็นการเร่งด่วนจะทำให้ภาคเกษตรของไทยได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างทั้งห่วงโซ่อุปทานของภาคการเกษตรไทย เป็นต้น
โดยวันนี้ คณะกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ชุดที่ 26 ได้นำเสนอนโยบาย Unlocking New Growth : ศักยภาพใหม่แห่งการเติบโต ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์หลักของเราในการขับเคลื่อนประเทศให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก พร้อมทั้งได้ให้ความสำคัญกับ 5 Core Value Chain ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และธุรกิจ ได้แก่ 1) ภาคการค้าและการลงทุน 2) ภาคเกษตรและอาหาร 3) ภาคท่องเที่ยวและบริการ 4) AI Robot & Digital Technology และ 5) Sustainability ในการขับเคลื่อนเป้าหมายให้ตรงจุด พร้อมกับยกระดับภาคเกษตรและอาหารของไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นคลังอาหารของโลก
ทั้งนี้ หอการค้าไทย ได้เสนอประเด็นปัญหาและข้อเสนอแนะเร่งด่วนของธุรกิจเกษตรและอาหารต่อรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาภาคเกษตรภายในประเทศและการส่งออกสินค้าเกษตรไปต่างประเทศ ดังนี้
1. จัดตั้งคณะกรรมการ Global Trade Task Force เพื่อสร้างความร่วมมือภาครัฐและภาคเอกชนในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาภาคเกษตรภายในประเทศและการส่งออกสินค้าเกษตรไปต่างประเทศ พร้อมทั้ง พิจารณาการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารที่จำเป็นจากสหรัฐฯ ที่จะช่วยให้ไทยมีจุดยืนที่ดีขึ้นในการเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ และเสนอให้กระทรวงเกษตรฯ สนับสนุนงบประมาณเพื่อยกระดับประสิทธิการผลิตและลดต้นทุนสินค้าเกษตร ตลอดจน สนับสนุนการนำเข้าสินค้าเกษตรคุณภาพจากต่างประเทศมาแปรรูปแล้วส่งออกในรูปแบบสินค้ามูลค่าสูง
ทั้งนี้ สหรัฐฯ ได้มีคำสั่งบริหารฉบับใหม่ชื่อ “Restoring American Seafood Competitiveness” Executive Orders April 17, 2025 เพื่อฟื้นฟูความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอาหารทะเลของสหรัฐฯ โดยขอให้กระทรวงเกษตรฯ ช่วยประสานงานกับสหรัฐฯ พิจารณายกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าทูน่ากระป๋อง (160414) ที่ผลิตจากทูน่าของสหรัฐฯ ให้กับประเทศไทย (US MFN Rate ทูน่ากระป๋อง 12.5%) และลดอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษีทั้งหมด (Non-Tariff Barriers: NTBs) รวมถึงเร่งรัดการเจรจา FTA เพื่อประโยชน์ทางสิทธิภาษีในด้านสินค้าประมง โดยต้องไม่กระทบเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์น้ำในประเทศ
หอการค้าไทยยังมีข้อห่วงใยเกี่ยวกับปัญหาการส่งออกทุเรียนไปจีน จึงขอให้จัดตั้ง “ทีมประเทศไทยแก้ไขปัญหาส่งออกทุเรียนและผลไม้ไปจีน (Team Thailand)” เพื่อบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการร่วมกันวางแนวทางการเจรจาและดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาการส่งออกทุเรียนไปยังจีนอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเสนอให้กระทรวงเกษตรฯ เร่งรัดประสานงานทางการจีนพิจารณาผ่อนปรนมาตรการตรวจสอบสารตกค้างในทุเรียนไทยและเพิ่มเพิ่มความรวดเร็วในการตรวจผ่านด่านเพิ่มเครื่องมือและอุปกรณ์การตรวจ รวมทั้งเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่เพื่อรองรับปริมาณสินค้าที่จะส่งออกไปยังตลาดจีนในช่วงฤดูผลไม้
3. เสนอให้กระทรวงเกษตรฯ ร่วมมือกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย บูรณาการความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สร้างความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนดำเนินการควบคุมการใช้ ผลิต นำเข้า ส่งออก และห้ามมีไว้ครอบครองสารคลอร์ไพริฟอส ตามที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันปัญหาการส่งออกข้าวไทยไปต่างประเทศ
4. เสนอให้กระทรวงเกษตรฯ ลดอุปสรรคต่อการส่งออก ทั้งด้านกฎหมายและกฎระเบียบที่สุ่มเสี่ยงต่อการขัดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศ NTB อาทิ การเก็บค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้นำเข้าสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ ภายใต้ ร่างพรบ.แก้ไขเพิ่มเติม พรก.การประมง พ.ศ.2558 พ.ศ. .... , ปัญหาการเก็บค่าธรรมเนียม ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียม ภายใต้ พระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 เป็นต้น
5. เสนอให้กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมประมงและกรมปศุสัตว์ เร่งรัดการประสานงานกับ Federal Service for Veterinary and Phytosanitary Surveillances (FSVPS) เพื่อลดอุปสรรคการถูกระงับการนำเข้าสินค้าสัตว์น้ำแปรรูปและอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยจากประเทศรัสเซีย
6. เสนอให้บูรณาการความร่วมมือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมแช่เยือกแข็งไทย โดยการเร่งรัดแก้ไขปัญหาวัตถุดิบขาดแคลน ทั้งด้านการเลี้ยงและการจับจากแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยส่งเสริมและสรรหาแหล่งวัตถุดิบจากประเทศที่มีศักยภาพ ตลอดจนสนับสนุนและส่งเสริมจัดทำนโยบายเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการลดต้นทุนการผลิตให้กับเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งขาวแวนาไมน์ สนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ระบบเทคโนโลยี ในการตรวจสอบย้อนกลับข้อมูลให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างฐานข้อมูลภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะการตรวจสอบย้อนกลับ พร้อมทั้งจัดระเบียบและขึ้นทะเบียนควบคุมผู้ประกอบการผลิตตลอดห่วงโซ่การผลิตให้เกิดประสิทธิภาพ
7. เสนอให้ยกระดับอาหารแห่งอนาคต (Future Food) โดยร่วมมือกับหอการค้าไทยในการสนับสนุน และส่งเสริมเกษตรกรผู้เลี้ยงผำ ตั้งแต่การให้องค์ความรู้ด้านการผลิต การรับรองตามระบบมาตรฐานสินค้าเกษตร การพัฒนาสายพันธุ์ผำที่ตลาดต้องการ ฯลฯ พร้อมทั้งสนับสนุน Lab ตรวจวิเคราะห์โปรตีนในผำอบแห้ง และร่วมส่งเสริมการตลาดผำอบแห้งของไทยในชื่อ "ผำฉะ" ที่มีคุณประโยชน์และสามารถประกอบอาหารคล้ายชาเขียวมัทฉะ
8. บูรณาการความร่วมมือขับเคลื่อนศูนย์ประสานงานและประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรและอาหาร (AFC) โดยขอให้กระทรวงเกษตรฯ สนับสนุนและร่วมประชาสัมพันธ์การขับเคลื่อนศูนย์ AFC โดยให้เกษตรและสหกรณ์จังหวัดทั่วประเทศจัดตั้งหน่วยงานรับผิดชอบศูนย์ AFC ประจำจังหวัด เพื่อร่วมกันทำงานต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรล้นตลาด-ราคาตกต่ำของเกษตรกร
โดยคณะกรรมการหอการค้าฯ ชุดที่ 26 ได้รวบรวมข้อเสนอจากสมาชิกหอการค้าทั่วประเทศ ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ จะจัดตั้งคณะกรรมการความร่วมมือภาครัฐและเอกชนด้านเกษตรและอาหาร (กรอ.กษ) เพื่อพิจารณานำประเด็นที่เกี่ยวข้องไปร่วมแก้ไขร่วมกันต่อไป
.012
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี